เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 915

บทที่ 915 สหายเฟิงผู้ขี้ระแวงกับเจ้าคนรู้มากสองคน

“ไม่ค่อยจะถูกแฮะ”

บนท้องฟ้าเขตปกครองพิศดารบันลือ ทันทีที่เรือศึกบรรพกาลของสวี่ชิงย่างกรายเข้ามา จากกลิ่นตลบอวลคละคลุ้งของกลิ่นเลือดเข้มข้น ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงที่อยู่บนเรือศพบรรพกาลก็จ้องเพ่ง

เอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ เขาแต่เดิมก็เอ้อระเหยลอยชายอยู่แล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เอ่ยพึมพำ

“ความเข้มข้นของคาวเลือดนี่ อย่างน้อยต้องมีสิ่งมีชีวิตตายมากกว่าล้านขึ้นไปถึงจะรวมได้มากขนาดนี้”

“ล้านหรือ” สวี่ชิงในใจเกิดความระแวดระวังภัย หลังจากกวาดสายตามองรอบๆ ก็ทอดสายตามองไปที่ไกล

สองปีก่อนเส้นทางที่เขาเดินทางไปเผ่านภาคิมหันต์ไม่ใช่เส้นทางนี้ เหตุที่ขากลับเลือกเส้นทางนี้ก็เพราะความระมัดระวังรอบคอบ ด้วยเหตุนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนถึงได้ตัดสินใจ

เพื่อการนี้ สวี่ชิงและนายกองยังต่างรวบรวมข้อมูลของที่นี่อีกด้วย

ก็นับว่ามีความเข้าใจในเขตปกครองแห่งนี้ รู้ว่าชายแดนของเขตปกครองนี้ มีเผ่าพันธุ์พื้นถิ่นจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่กระจายกันไป

เผ่าพันธุ์เหล่านี้เนื่องจากอาศัยอยู่ในพื้นที่กันชนพื้นที่แคบของสองเผ่า ปกติแล้วก็ระมัดระวังรอบคอบมาก ส่งส่วยบรรณาการให้กับทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่านภาคิมหันต์

แต่กลิ่นคาวเลือดในตอนนี้ทำให้ทั้งสองคนจิตใจหนักอึ้งไปเล็กน้อย

“ไม่รู้ว่าเลือดที่ทำให้เกิดกลิ่นคาวเลือดขนาดนี้เป็นอสูรร้าย หรือเผ่าพันธุ์เหล่านั้นที่นี่”

สวี่ชิงขบคิดในใจ มองตากันกับนายกอง ต่างมองห็นความเคร่งเครียดของกันและกัน

ไม่ว่าเลือดที่ทำให้เกิดกลิ่นคาวเลือดนี้จะเป็นอสูรร้ายหรือเผ่าพันธุ์ใด ล้วนบ่งบอกว่าเขตปกครองพิศดารบันลือเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนมาไม่ปลอดภัย

“คงไม่ใช่เทพเจ้าองค์ไหน หรือตัวประหลาดแก่ที่ไหนวางแผนจะปล้นพวกเราที่นี่หรอกกระมัง”

นายกองระแวดระวัง

“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเราไม่มีทางได้กลิ่นเลือดคละคลุ้งขนาดนี้ที่นี่แน่ แหวกหญ้าให้งูตื่นแบบนี้ไม่เหมือนฝีมือของเทพเจ้า”

สวี่ชิงครุ่นคิด เอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกมา

หากมีการดักซุ่มลอบโจมตีจริงๆ ย่อมมีการอำพราง หรือตอนนี้ก็ต้องมีพันธนาการอะไรปะทุขึ้นมาถึงจะถูก

แต่ตอนนี้ นอกจากกลิ่นคาวเลือดแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ

นายกองได้ยินคำนี้ก็พยักหน้า

“และก็ไม่เหมือนฝีมือของพวกตัวประหลาดแก่พวกนั้น หยาบเกินไป”

ทั้งสองคนหารือกันครู่หนึ่ง นายกองคิดว่าเคลื่อนหน้าต่อไปได้ แต่สวี่ชิงหลังจากขบคิดก็ตัดสินใจอ้อมเขตปกครองนี้

แม้เดินมาถึงตรงนี้หากจะย้อนกลับเปลี่ยนเส้นทาง คิดจะกลับเผ่ามนุษย์ต้องอ้อมรอบหนึ่ง ไม่พูดว่าเสียเวลา แต่ระดับความอันตรายเกรงว่าจะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านพ้นไป

อีกทั้งที่นี่ห่างจากพื้นที่เผ่ามนุษย์ไม่ไกล ด้วยความเร็วของพวกเขา อย่างมากเจ็ดวันก็ไปถึง

แต่ในเมื่อเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากล ด้วยนิสัยของสวี่ชิงย่อมไม่มีทางกระโจนเข้าไปหา

ดังนั้นพวกเขาจึงสรุปความเห็นร่วมกัน ถอยไปจากเขตปกครองพิศดารบันลืออย่างรวดเร็วก่อน จากนั้นค่อยอ้อมเป็นพื้นที่เล็กๆ เดินทางอย่างระมัดระวัง โดยเตรียมใช้เวลาเพิ่มสองถึงสามเท่า จากอีกทิศทางหนึ่ง ที่นอกเขตปกครองพิศดารบันลือ

และในตอนที่สวี่ชิงกับนายกองเลือกที่จะจากไป ในพื้นที่แห่งหนึ่งที่ห่างจากที่นี่เป็นระยะทางหนึ่ง ที่นั่นมีเมืองของต่างเผ่าเมืองหนึ่ง

เมืองนี้เป็นของเผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่ง รอบๆ ถูกผนึก ในนั้นล้วนแต่น่าอเนจอนาถชวนสังเวช ศพเกลื่อนพื้น บนพื้นไหลนองไปด้วยเลือดสดๆ

จำนวนผู้คนที่ตายไป ได้ยินแล้วชวนให้ครั่นคร้าม

และที่กลางท้องฟ้า ผู้แข็งแกร่งหลายคนของเผ่านี้ แต่ละคนต่างสีหน้าตื่นกลัวและร้อนรน ที่มากกว่านั้นคือความสิ้นหวัง

สิ่งที่พวกเขาประมือด้วยคือเมฆแมลงเป็นกลุ่มๆ ก่อขึ้นจากตะขาบสีดำตัวเท่าแขนมากมาย ที่หลังของตะขาบเหล่านี้ล้วนมีภาพสัญลักษณ์หน้าผี

แต่ละตัวล้วนเหี้ยมโหดดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง เสียงคำรามรวมเข้าด้วยกันเล็กแหลมสุดขีด

จำนวนไม่น้อยกว่าหลายหมื่น

ภายใต้การล้อมโจมตีของพวกมัน ผู้อาวุโสที่มีพลังบำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาเหล่านั้นของเผ่านี้ไม่อาจยืนยันได้นานเลย ไม่นานก็มีคนหนึ่งพลังบำเพ็ญแห้งเหือด ถูกแมลงร้ายฝูงหนึ่งรุมไป ชอนไชร่างกาย ตายอย่างน่าอนาถ

เหนือศีรษะพวกเขามีเงาร่างสองร่างยืนอยู่กลางท้องฟ้า

เป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เป็นชายหนุ่มแซ่เฟิงและผู้หญิงที่ชื่อหลานเหยาที่ก่อนหน้านี้ลงมาเยือนจากนอกพิภพเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง

“ตะขาบทมิฬวิญญาณผีพวกนี้ที่สหายเฟิงเลี้ยงมหัศจรรย์ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ดูท่าทางพวกมัน น่ากลัวว่าใช้เวลาอีกไม่เท่าไร ก็จะวิวัฒนาการเป็นตะขาบนภาแล้ว”

หลานเหยาเอ่ยราบเรียบ

ชายหนุ่มแซ่เฟิงที่อยู่ข้างๆ นางได้ยินก็ยิ้ม

“สหายหลานเอ่ยชมเกินไปแล้ว ตะขาบทมิฬพวกนี้หากอยากให้วิวัฒนาการ ไม่มีเวลาสามสี่ร้อยปีก็ไม่มีทางเลย ต่อให้เป็น…เอ๋”

ชายหนุ่มแซ่เฟิงยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ทอดสายตามองไปที่ไกล

ในดวงตาหลานเหยาประกายเร้นลับฉายวาบอย่างบางเบาจนแทบจะไม่เห็น เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“สหายเฟิง พบอะไรเข้าหรือ”

“ไม่อะไร คิดว่าสหายหลานคงสังเกตเหมือนกันแล้วกระมัง ข้าแซ่เฟิงก่อนหน้านี้ เพื่อความรอบคอบก็ได้วางเนตรมิติที่เอามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยเอาไว้ ดวงตานี้ในเผ่าของข้าเป็นของล้ำค่าลับ แม้ผลอื่นๆ ธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ในด้านซ่อนอำพรางก็พิเศษเป็นอย่างยิ่ง อสูรมิติที่เป็นต้นกำเนิดพลังของมัน ก็เป็นสิ่งที่มาจากนอกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ หากไม่ใช่ผู้มาเยือนจากนอกพิภพก็ไม่สามารถค้นพบได้เลย”

“และเมื่อครู่ จากเนตรมิติข้างหนึ่งก็สำรวจได้จากที่ไกลๆ ว่ามีผู้บำเพ็ญชั้นล่างท้องถิ่นสองคนปรากฏตัวขึ้น”

ชายหนุ่มแซ่เฟิงหรี่ตา เอ่ยช้าเนิบ

“แต่ว่าสองคนนี้ก็ระมัดระวังรอบคอบนัก ไม่ได้เข้ามา แต่เลือกที่จะจากไป เช่นนี้ ข้าก็ขี้เกียจจะแบ่งสมาธิไปขัดขวาง อีกทั้งยังต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมการใหญ่ในตอนนี้เป็นหลัก นับว่าพวกเขาโชคดีไป”

หลานเหยาหัวเราะเบาๆ

“สหายเฟิงลงมือได้รอบคอบระมัดระวังเช่นนี้ ท่าทางคำพูดที่กระตุ้นให้เยวี่ยตงจากไปก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้ประมาทกับที่แห่งนี้จริงๆ”

ชายหนุ่มแซ่เฟิงไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แววตาของหลานเหยาฉายประกายวาบเล็กน้อย ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก

ส่วนสวี่ชิงและเอ้อร์หนิวที่ถูกพวกเขาพูดถึงตอนนี้ก็ไปจากเขตปกครองพิศดารบันลือแล้ว ยิ่งกว่านั้นในเส้นทางต่อจากนั้น เรือศึกบรรพกาลที่รูปร่างเป็นหญิงชรา สวี่ชิงก็ได้ประสานปางมือเปลี่ยนให้รางเลือน พลังอำพรางแผ่ออก ความเร็วก็เร็วขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายส่วน

กลิ่นเลือดหายไปแล้วจริงๆ ด้วย แต่ความระมัดระวังของทั้งสองคนไม่ลดลง ผ่านไปอีกหลายวันเช่นนี้เอง ตลอดทางปลอดภัยดี ตอนนี้ห่างจากพื้นที่เผ่ามนุษย์เหลือระยะทางอีกสามวัน

แต่ในตอนนี้เอง ที่ปลายขอบฟ้าไกล หมอกสีแดงเดือดพล่าน กลิ่นคาวเลือดนั่นก็ปรากฏขึ้นในสัมผัสรับรู้ของทั้งสองคนอีกครั้ง

อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าเพิ่งก่อขึ้นได้ไม่นาน ตอนนี้กำลังแผ่ลามออกไป

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึมทันที นายกองทางนั้นในดวงตาฉายประกายดุดันขึ้นเช่นกัน

ทั้งสองต่างโคจรพลังบำเพ็ญ จับจ้องสายตามองไปทางหมอกเลือด

ในดวงตานายกองประกายแสงสีฟ้าพุ่งออกมา ดวงตาดำมืดของสวี่ชิงเก็บลงไป สายตาของทั้งสองต่างมีพลังมองทะลุ ทะลวงการขวางกั้นจากหมอก มองเห็นภาพนรกอเวจีในม่านหมอก

“นั่นมัน…” คำพูดนายกองหยุดชะงัก เสียงแฝงด้วยความแปลกประหลาด

สวี่ชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

ภายใต้การมองทะลุจากสายตาของพวกเขา ก็มองเห็นต้นกำเนิดของหมอก

นั่นเป็นเมืองของเผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่ง

เมืองนี้ถูกหมอกห้อมล้อม ในเมืองเงียบสงัด ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ รอดทั้งสิ้น สิ่งที่มีอยู่คือเจดีย์โครงกระดูกเก้าสิบเก้าองค์ที่ทับถมขึ้นมาจากซากศพนับไม่ถ้วน

เจดีย์ทุกองค์ล้วนเป็นโครงกระดูกเกือบหมื่นโครง

เผ่าเล็กๆ เผ่านี้ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กองทับถมเป็นเจดีย์สูง อีกทั้งดวงตาที่สามที่หว่างคิ้วของเผ่านี้ทุกคนต่างโดนควักออกมา

กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นส่งออกมาจากร่างของสมาชิกเผ่าเล็กๆ ที่ที่หน้าผากมีตาที่สามเผ่านี้นั่นเอง

รวมเข้าด้วยกันถึงจะได้เกิดเป็นหมอกเลือดเช่นนี้

“สังเวยโลหิต!”

“สังเวยโลหิต!”

นายกองพึมพำ

บทที่ 915 สหายเฟิงผู้ขี้ระแวงกับเจ้าคนรู้มากสองคน 1

บทที่ 915 สหายเฟิงผู้ขี้ระแวงกับเจ้าคนรู้มากสองคน 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา