บทที่ 956 ข้าถามเซียนจากจุดสูงสุด
อดีตแท่นเทวะอวี้หลิวเฉิน ตอนนั้นติดตามเสี้ยวหน้ามาถึงแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็เคยมีท่าทางถือดีคิดว่าไม่มีใครเทียม
เป็นถึงแท่นเทวะ เทพเจ้ามากมายอยู่ต่อหน้าองค์ท่านล้วนต้องหมอบกราบ ล้วนต้องสั่นเทา
แม้เป็นระดับพิสุทธิ์ หากองค์ท่านต้องการย่อมทำให้เกิดมลทินและมีเคราะห์อีกครั้ง
เพราะองค์ท่านคือหายนะ
สรรพชีวิตยิ่งเป็นเช่นนั้น
ในช่วงเวลาแรกเริ่มนามขององค์ท่านจึงมากพอให้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สั่นสะเทือน ยังทำให้เทพเจ้าทั้งหลายเงยหน้ามองด้วยเคารพยำเกรง
และเดิมที องค์ท่านยังมีคุณสมบัติเดินถึงแท่นเทวะขั้นสูงสุด ถึงกับทะลวงเทพแท้ได้
แต่ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากเงาร่างวัยกลางคนแบกกระบี่สัมฤทธิ์เจ็ดฉื่อจากขอบฟ้ามาแผ่นดินเทวะของตน
ศึกนั้นหากองค์ท่านไม่ระเบิดแผ่นดินเทวะในช่วงสำคัญ อาจร่วงลงมาแล้วก็เป็นได้
แม้หนีออกมาด้วยสิ่งนี้ แต่ตัวองค์ท่านบาดเจ็บสาหัส แท่นเทวะพังทลายแตกฉานซ่านเซ็น
ต่อมา องค์ท่านได้เพียงซ่อนตัวหลับลึกมาตลอด ไม่กล้าปรากฏกาย กับเงาร่างแบกกระบี่ผู้นั้น องค์ท่านที่ไม่มีคลื่นอารมณ์ยังคงเกิดความกลัว
นั่นคือสัญชาตญาณชีวิต
ผ่านไปหลายปีนับไม่ถ้วน ความกลัวนี้หยั่งรากลึก และสุดท้ายพลังบำเพ็ญขององค์ท่านไม่อาจฟื้นคืน เพราะว่า…จิตใจได้รับผลกระทบ
ดังนั้น เมื่อองค์ท่านรับรู้ว่าภัยในชีวิตอย่างจักรพรรดิครองกระบี่มาเยือน องค์ท่านจึงตัดสินใจมาที่นี่
องค์ท่านอยากมาส่งอีกฝ่าย
แต่ตอนเอ่ยคำออกจากปาก กลับกลายเป็นมาดูช่วงสุดท้าย…
สุดท้าย องค์ท่านยังคงหวาดกลัวมหาจักรพรรดิผู้มีกำลังเทพครั่นคร้ามที่เลือกอยู่ต่อเพียงคนเดียวหลังผู้แข็งแกร่งทั้งหมดบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์จากไป
สิ่งนี้ในแง่หนึ่งเรียกได้ว่าเป็นอิสระเสรี ไม่ต้องจมดิ่งอยู่ในโลกธุลีแดง
แต่อีกฝ่ายกลับเลือกอยู่ต่อเพื่อปกป้องเผ่ามนุษย์อย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน
ในโลกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า เพียงอยู่ก็เป็นกี่หมื่นปีไม่ทราบได้
เผ่ามนุษย์จึงดิ้นรนมาจนถึงวันนี้
เรียกได้ว่าหากไม่มีมหาจักรพรรดิผู้นี้ เผ่ามนุษย์คงไม่อยู่แล้ว
ต่อให้ยังมีการสืบพันธุ์ก็ต้องกระจัดพลัดพราย กระจายเป็นเผ่าเล็กในอาณัติเผ่าอื่นนับไม่ถ้วน ไม่มีทางรักษาแผ่นดินใหญ่เผ่ามนุษย์ไว้ได้
ช่วงเวลานั้นมีเทพเจ้าถูกมหาจักรพรรดิผู้นี้สังหารมากมาย แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็ใหญ่หลวงเช่นกัน ร่างเดิมของเขาสู้จนตัวตาย มีเพียงร่างแยกที่ยังดิ้นรนอยู่ต่อ
“จักรพรรดิครองกระบี่ เจ้าคือผู้บำเพ็ญที่ข้าเคารพที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ผืนนี้ ไม่มีใครเทียม”
สายตาอวี้หลิวเฉินมองตามแนวปราณกระบี่ทรงอานุภาพเบื้องล่างไปยังวังครองกระบี่ สายตาเขาสามารถทะลุกำแพงเห็นเงาร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ
บัดนี้ทั้งพิภพต้องประสงค์ ในระบบผู้บำเพ็ญมีมหาจักรพรรดิแค่คนเดียว
“แต่ว่า ตอนนี้เจ้ายังมีแรงแม้เพียงหนึ่งกระบี่จริงหรือ”
ชุดยาวสีโลหิตปกคลุมผืนดิน อวี้หลิวเฉินที่ทั้งกายมีแสงโลหิตกระจายทั่วฟ้ายืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดินดุจนายแห่งโลกหล้า
หลังกล่าวคำพูดนี้ออกมา กลิ่นอายบนตัวองค์ท่านก็เริ่มสะท้านฟ้าเช่นกัน
ลมพัดเมฆแผ่คลุม ทั่วทั้งม่านฟ้ากลายเป็นสีโลหิต
ยามนี้ไม่ว่าทะเลเพลิง รัตติกาลหรือตะวันจันทราดาราล้วนพากันมืดหม่น เหลือกลิ่นอายขององค์ท่านเพียงหนึ่งเดียว
ฝีเท้าองค์ท่านยกขึ้นแช่มช้า ในดวงตาราวกับมีทะเลโลหิตปะทุ ชุดยาวยิ่งขยาย คล้ายหมายปกคลุมทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ให้อยู่ภายใต้ชุดยาวสีโลหิตขององค์ท่านตามฝีเท้าที่ย่างเหยียบ
แต่ในตอนนั้นเอง ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ป้องกันเผ่ามนุษย์พลันเกิดเสียงดังสนั่น คลื่นรุนแรงก่อตัวเป็นการโจมตีย้อนกลับชัดเจน
หลักการทำงานของค่ายกลเผ่ามนุษย์คือมันจะสร้างพลังต้านต่างกันไปตามความรุนแรงที่บุกรุก
บัดนี้เป็นวิกฤตระดับสูงสุด การระเบิดของค่ายกลเผ่ามนุษย์จึงบรรลุขีดสุดเหนือทั้งมวล
ขณะแสงเด่นชัดบาดตาส่องสว่างฉับพลัน รัศมีปกคลุมอันเกิดจากค่ายกลเผ่ามนุษย์ที่แฝงรอยตราอักขระนับไม่ถ้วนก่อร่างขวางตรงหน้าอวี้หลิวเฉินทันใด
ยิ่งกว่านั้นในค่ายกลนี้ยังมีดวงดาวส่องประกาย จำนวนทั้งหมดสี่สิบเก้าดวง
เหล่านั้นล้วนเป็นดวงตะวันแห่งแสงอรุณ!
นี่คือดวงตะวันแห่งแสงอรุณทั้งหมดของเผ่ามนุษย์ตอนนี้
หลังประสบเคราะห์ภัยนับไม่ถ้วน บัดนี้เผ่ามนุษย์มิอาจพูดได้ว่ามีพลังอะไรแฝงเร้นอีกแล้ว
พลังใหญ่สุดนอกจากจักรพรรดิครองกระบี่ก็มีแค่ดวงตะวันแห่งแสงอรุณเหล่านี้
คลื่นของพวกมันทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี แต่ด้านอวี้หลิวเฉินกลับหัวเราะขึ้นมา
“ดูท่า เจ้าจะไม่มีแรงแม้เพียงกระบี่เดียวแล้วจริงๆ”
พูดจบ องค์ท่านคล้ายไม่ลังเลอีกต่อไป เท้าขวาที่ยกขึ้นจะเหยียบย่างลงบนสายปราณกระบี่เบื้องหน้า ทว่าพริบตาต่อมา มีเสียงคำรามทอดมาจากม่านฟ้าสีโลหิต
เสียงดังควาก นภาสีโลหิตถูกฉีกออก มังกรทองเจ็ดเล็บวิถีสวรรค์แห่งเผ่ามนุษย์ว่ายวนส่งเสียงคำรนอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นกายส่องรัศมีหมื่นจั้ง ราวกับมีดวงอาทิตย์สีทองปรากฏบนม่านฟ้าสีโลหิต
ชั่วขณะรัศมีตกต้องเมืองหลวงจักรพรรดิ วิถีสวรรค์เผ่ามนุษย์พลันเคลื่อนกายมุ่งตรงไป…วังจักรพรรดิ!
เป้าหมายของมันถึงกับเป็นจุดที่เงารูปปั้นมหาจักรพรรดิปกคลุมบนลานวังจักรพรรดิ
ยามนี้ในเงามหาจักรพรรดิปรากฏควันม่วง
ขณะหมุนวนให้ความรู้สึกหนาทึบ ยังมีระฆังใบใหญ่โผล่ออกมาแขวนอยู่เหนือลานจากในนั้น
นั่นคือระฆังถามเซียน
ว่ากันว่าระฆังนี้มาจากยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว สถานะของมันอยู่ระหว่างหยินหยาง จะปรากฏในชั่วเวลาอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น
มันเคลื่อนย้ายไม่ได้ เป็นหนึ่งเดียวกับเมืองหลวงจักรพรรดิ หรือกล่าวให้ถูกคือมันเป็นส่วนหนึ่งของวังจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ เป็นพยานการเติบโตของจักรพรรดิมนุษย์มาทุกสมัย
เอาไว้พิสูจน์เจตนา
นับแต่โบราณมีขุนนางใหญ่ถูกคนอื่นคลางแคลงคำพูดเป็นบางครั้ง ต้องเคาะระฆังถามเซียนเพื่อพิสูจน์เจตนา
ตอนนั้นหนิงเหยียนก็พิสูจน์เจตนาด้วยระฆังนี้
นอกจากใช้งานเช่นนี้ หลายหมื่นปีที่ผ่านมาระฆังนี้ยังไม่มีประโยชน์อื่นใด
นานวันเข้าก็ถูกผู้คนทั้งหลายมองข้ามไปทีละนิด เพียงเห็นมันเป็นสัญลักษณ์และของโบราณที่ออกจะลึกลับ
กระทั่งวันนี้ กระทั่งการฟื้นตื่นของวิถีสวรรค์เผ่ามนุษย์ กระทั่งเงาร่างของมันพุ่งเข้าไปในระฆังถามเซียน…
ระฆังสั่นฉับพลัน
ราวกับฟื้นตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานในที่สุด!
ภาพสัญลักษณ์สรรพสิ่งหมู่มวลชีวิต ขุนเขาสายธารที่สลักบนนั้นล้วนมีชีวิตขึ้นมา เคลื่อนวนอยู่บนผิวระฆัง เปล่งแสงสว่างแวววามสาดส่องฟ้าดิน พร้อมกันนั้นกลิ่นอายบรรพกาลเข้มข้นก็ปรากฏขึ้นจากระฆังถามเซียน
นภาพลิกม้วน ปราณโลหิตปะทุ ฟ้าดินสับเปลี่ยน
ในกลิ่นอายนี้ยังมาพร้อมปราณจักรพรรดิน่าสะพรึงกลัว แปลงจากปณิธานใหญ่ยิ่งที่อยู่เหนือฟ้าดิน ก่อตัวจากความโหดเหี้ยมไร้สิ้นสุดที่พิชิตบรรพกาล ประพันธ์จากวิถีที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ร่วมสั่นพ้อง
นั่นคือ…กลิ่นอายจักรพรรดิโบราณ!
แต่มิใช่เสวียนโยวที่ทุกคนคิดไว้!
กลิ่นอายนี้เก่าแก่ยิ่งกว่า
เสวียนโยวไม่ใช่จักรพรรดิโบราณคนแรกบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
ก่อนหน้าเขามีจักรพรรดิโบราณแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์อยู่หลายคน ไม่ว่าจักรพรรดิวิญญาณโบราณ หรือจักรพรรดิเผ่าอื่นที่เกิดมาผนึกรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
แรกเริ่มเดิมที ในตำนานเล่าขาน ตอนนั้นหลังเซียนคิมหันต์จากไป เคยเลือกผู้บำเพ็ญคนหนึ่งเป็นจักรพรรดิโบราณคนแรกบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ด้วยตัวเอง!
จักรพรรดิโบราณผู้นี้เป็นเผ่ามนุษย์
ระฆังนี้มาจากเขา!
ดังนั้นเมื่อกลิ่นอายปรากฏ ฟ้าดินสั่นไหว แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สะเทือน
ด้านอวี้หลิวเฉินก็สีหน้าเปลี่ยนพลัน เท้าที่ยกขึ้นหยุดชะงัก
พริบตาต่อมา ระฆังถามเซียนนี้สั่นไหวกลางอากาศ เสียงระฆังแต่เก่าก่อนก้องสะท้อนโบราณกาล ไหลตามสายธารแห่งกาลเวลามาปัจจุบันและตกถึงฟ้าดิน
เสียงโบราณเรียบง่ายพร้อมแฝงความเศร้าโศก คล้ายกำลังร้องเรียก คล้ายกำลังถามเซียนที่จากไปเหล่านั้น…
พวกท่านจะกลับมาเมื่อไร
เสียงระฆังเหง่งหง่าง ฟ้าดินเปล่าดาย ข้าถามจากพิภพ เซียนหวนคืนเมื่อใด
อวี้หลิวเฉินสีหน้าเปลี่ยนหนัก ทั่วกายพลันสั่น ชุดยาวสีโลหิตทั้งกายที่ปกคลุมผืนดินมีเสียงแครกคราก เกิดเป็นรอยแยกนับพัน
ผู้ใดพบเห็นล้วนตื่นกลัว
เท้าที่องค์ท่านยกขึ้นก็ถอนกลับในยามนี้ กายยิ่งถอยหลังสิบจั้ง
“นี่คือสิ่งใด!!”
ระฆังถามเซียน แม้เป็นความรอบรู้ของแท่นเทวะก็ไม่อาจรวมมันไว้ในนั้น
มันคล้ายถูกซ่อนอยู่ในวันเวลา ถูกเร้นไว้นอกเหนือความเข้าใจ ราวกับมันจะปรากฏแค่ในยามที่ตะวันจันทราเคลื่อนมารวมกัน
ไม่เพียงอวี้หลิวเฉินโพล่งออกมา ยามนี้เทพอัคคี เทพรัตติกาลรวมถึงเทพตะวันจันทราดาราก็ล้วนเกิดคลื่นในใจ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา