ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว นิยาย บท 1038

หลุมลึกปรากฏขึ้นท่ามกลางฝุ่นผง ในขณะที่เลือดศักดิ์สิทธิ์สีทองกระเซ็นจากตรงกลาง ร่างกายท่อนล่างของชายร่างกำยำถูกฝังลึกลงไปในหลุม หน้าอกของเขาถูกเฉือน และซี่โครงทั้งหมดก็ร้าว เขาดูเหมือนดอกไม้ที่กำลังจะตาย
  “เจ้าเป็นแค่คนรับใช้ กล้าดียังไงถึงมาดูหมิ่นข้า?”
  ซูผิงยกนิ้วขึ้นอย่างเย็นชาโดยไม่แสดงความเมตตาใดๆ
  “เจ้า… เจ้ากล้าเสียจริง ๆ …” ชายร่างกำยำโกรธมากกว่าตกใจ เขาไม่คิดว่าซูผิงจะกล้าโจมตีเขาในทันที ที่น่ากลัวที่สุดคือมนุษย์นั้นแข็งแกร่งอย่างไม่อาจต้านทานได้ ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะนึกว่ามันเป็นถึงแรงกดดันจากนายน้อยของเขา
  ปัง!
  รัศมีที่ควบแน่นในท้ายที่สุดถูกปล่อยออกมาจากนิ้วของซูผิง เจาะผ่านหัวของชายร่างกำยำและทำลายจิตวิญญาณของเขา เขาไม่สามารถแม้แต่จะฟื้นคืนชีพได้
  ซูผิงไม่ได้สนใจแม้แต่จะมอง เขาออกจากเกาะและตรงไปที่สำนักกระจกใจ ที่ซึ่งเจ้าชายอาศัยอยู่
  ”เอ่อ…”
  “เขากล้าฆ่าคนใช้ของเจ้าชายคนนั้น!”
  “เขาแข็งแกร่งมาก! เขาเป็นแค่เทพสวรรค์ไม่ใช่หรอ?”
  กลับมาที่เกาะ นักเรียนคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในวังอื่นเห็นเหตุการณ์ ด้วยความตกใจ ทุกคนประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะได้เห็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญเช่นนี้จากซูผิง ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาจะไม่จบลงอย่างสันติแน่นอน!
  ”ยอดฝีมือ…”
  นอกวังของซูผิง—สาวใช้ที่รับใช้เขาค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่เธอเห็น เธอไล่ตามเขามาด้วยความกังวล
  “เขาจะตอบรับคำท้าหรือไม่? ไปกันเถอะ ข้าอยากดู” เจ้าหญิงที่อาศัยอยู่ในวังหนึ่งลุกขึ้นและออกจากวัง
  นักเรียนในวังอีกสามแห่งเดินออกมา การท้าทายมักเกิดขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท้าทายที่มีเจ้าชายของตระกูลสายฝนเข้ามาเกี่ยวข้อง
  ซูผิงบินออกไปนอกเกาะและออกจากสำนักสวรรค์สามัคคีในไม่ช้า เขาไปถึงสำนักกระจกใจซึ่งอยู่นอกสถาบันวิถีสวรรค์
  ผู้คนในสำนักกระจกใจคือผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติเทพ พวกจะมาบ่มเพาะคุณสมบัติของพวกเขาที่นี่
  ซูผิงขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือสำนักกระจกใจและตะโกน “เจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าชายแห่งตระกูลสายฝนที่ท้าทายข้า! ไสหัวออกมา!”
  เสียงของเขาดังก้องไปทั่วสำนักกระจกใจ ราวกับฟ้าร้องในสันที่ท้องฟ้าสดใส
  ทุกคนที่บ่มเพาะอยู่ในสำนักต่างมองด้วยความประหลาดใจ พวกเขาประหลาดใจมากขึ้นเมื่อได้ยินคนแปลกหน้าตะโกนเรียกเจ้าชายตระกูลสายฝน ตระกูลสายฝนเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในแดนเทพอาเคี่ยน ใครจะกล้าท้าทายพวกเขา?
  ชายสองคนกำลังคุยกันอยู่ในสวน ทั้งคู่ต่างตกตะลึงกับเสียงคำรามของซูผิง คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน อีกคนยิ้มเยือกเย็นด้วยดวงตาเป็นประกาย ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็หมดความอดทนแล้วใช่ไหม?
  “นี่มันอุกอาจมาก! ใครกันที่กล้าเรียกตระกูลของข้าอย่างไร้มารยาทเช่นนี้?”
  ชายคนหนึ่งลุกขึ้นจากสวนแห่งหนึ่ง เขาเป็นเจ้าชายตระกูลสายฝนซึ่งสูงและสง่างามราวกับจักรพรรดิหนุ่ม
  ซูผิงมองเขา โดยตระหนักว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพราะเจ้า หลบไป!”
  “เจ้าเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ช่างกล้าเสียจิง!”
  ชายหนุ่มโกรธจัด หากไม่ใช่เพราะกฎ เขาคงจะฆ่าซูผิงเพื่อรักษาเกียรติของตระกูล
  “เขามาที่นี่เพราะข้า”
  เสียงที่ดูไม่แยแสดังขึ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินจากความว่างเปล่าโดยเอามือไพล่หลังและตรงเข้าหาซูผิงทันที เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าชายโม่เฟิง
  ริมฝีปากของเขาขด ดวงตาของเขาไม่แยแส ราวกับว่าเขากำลังมองคนตาย “ในที่สุดเจ้าก็เลิกซ่อนตัวและพร้อมที่จะรับคำท้าของข้าแล้ว?”
  “คำท้าของเจ้า?”
  เมื่อเขาได้ยินคำพูดของโม่เฟิง เจ้าชายน้อยก็ตระหนักว่าโม่เฟิงนั่นเองที่เป็นคนสร้างปัญหา เขาพ่นลมหายใจและกล่าวว่า “เขาดูถูกตระกูลสายฝนในที่สาธารณะ เจ้าควรทำให้เขาตายโดยเร็วที่สุด!”
  จากนั้นเขาก็โบกแขนเสื้อแล้วถอยกลับ และปล่อยให้โม่เฟิงจัดการเรื่องนี้
  กลับมาที่สวน ทุกคนตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากได้ยินสิ่งที่โม่เฟิงพูด สรุปคือโม่เฟิงท้าทายมนุษย์คนนั้นให้ต่อสู้กัน ไม่น่าแปลกใจที่เขามาที่นี่
  อย่างไรก็ตาม พวกเขามองว่ามนุษย์ค่อนข้างงี่เง่า แม้ว่าโม่เฟิงจะไม่ใช่ศิษย์ของสถาบันวิถีสวรรค์ แต่มันไม่ใช่เพราะเขาไม่แข็งแกร่งพอ เพียงแต่ว่าคุณสมบัติทพของเขาไม่ตรงตามข้อกำหนด
  มีน้อยคนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ในแง่ของพลังต่อสู้
  ท้ายที่สุดเขาเป็นเจ้าชายที่ชนะการแข่งขันในตระกูล เขาต้องเก่งแค่ไหนถึงจะทำอย่างนั้นได้?
  “มนุษย์คนนี้เป็นเพียงเทพสวรรค์ แต่เขาก็ยังกล้าที่จะรับคำท้าทายนี้ เขาอยากตายหรือไง!”
  “ถ้าเป็นข้า ข้าจะบ่มเพาะอย่างสันโดษจนกว่าจะกลายเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่!”
  “นี่ไม่ใช่แม้แต่อาณาเขตของมนุษย์ แต่เขายังกล้าที่จะดูหมิ่นตระกูลสายฝน? ตระกูลของเขาอาจถูกฆ่าล้างตระกูลได้เลยนะ!”
  เทพหลายองค์มองซูผิงอย่างเย็นชาจากลานบ้าน คิดว่าเขาโง่และหยิ่งเกินไป ทุกคนคาดหวังว่าเขาจะถูกฆ่าในไม่ช้า
  “เจ้าทำอะไรกับคนใช้ของข้า?”
  โม่เฟิงไม่เห็นคนใช้ของเขามากับซูผิง เขาได้สั่งให้คนใช้ของเขาไปยั่วโมโหซูผิงและบังคับให้เขายอมรับคำท้าทายของเขา ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเก็บตัวเงียบอยู่นาน ท้ายที่สุดเขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่งที่ตีระฆังโกลาหลได้ เขามั่นใจในตัวเอง แต่เขาไม่ต้องการเลื่อนเรื่องนี้ออกไปนานเกินไป เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้
  “ข้าฆ่าเขาไปแล้ว” ซูผิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับคมดาบ “เขาเป็นแค่คนใช้ที่ต่ำต้อย แต่กล้ามาดูหมิ่นข้า ไม่ต้องกังวล เจ้าจะได้เจอกับเขาเร็ว ๆ นี้!”
  ดวงตาของโม่เฟิงทอประกายเย็นชา “ชีวิตของคนใช้ของข้ามีค่ามากกว่าชีวิตของเจ้าร้อยเท่า เจ้าไม่มีสิทธิ์แตะต้องเขา อีกไม่นานเจ้าจะตายอย่างอนาถ!”
  “งั้นไปกันเลย! ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อสู้กับเจ้าด้วยน้ำลาย!” ซูผิงบินไปที่ลานประลองโดยไม่พูดอะไรอีก
  โม่เฟิงเยาะเย้ยและตามเขาไปอย่างใกล้ชิด
  หลายคนในสำนักกระจกใจส่ายหัวและคิดว่าซูผิงมาเพื่อฆ่าตัวตาย หลายคนตามพวกเขาไป พวกเขาค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับเหตุผลที่ซูผิงกล้ารับคำท้าของเจ้าชายตระกูลสายฝนในขณะที่เขายังคงเป็นแค่เทพสวรรค์ เขาไม่น่าทำการตัดสินใจที่โง่เขลาเช่นนี้ เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นคนโง่ เขามีบางอย่างที่สามารถพึ่งพาได้จริงๆหรอ?
  ข่าวการท้าทายระหว่างมนุษย์กับเจ้าชายตระกูลสายฝนแพร่กระจายไปในทันที
  บนเกาะแห่งหนึ่งในสำนักสวรรค์ยุทธ์—
  โจแอนนากำลังบ่มเพาะอยู่ในวังของเธอ ขณะศึกษาหนังสือหิน ซึ่งบันทึกเทคนิคลับอันทรงพลังของสำนักสวรรค์ยุทธ์ เธอก้าวหน้าอย่างรวดเร็วด้วยประสบการณ์ที่เธอมี และมาถึงระดับสามแล้ว แม้แต่สภาวะเทพดวงดาวก็พบว่ามันยากที่จะเข้าใจระดับนี้ แต่เธอฉลาดมากและเข้าใจกุญแจสำคัญแล้ว
  บทสนทนาดังมาจากนอกวัง โจแอนนาเพิ่งเข้าใจและกำลังจะศึกษาต่อ แต่แล้วเธอก็ได้ยินว่าตระกูลสายฝนยื่นคำท้าทาย
  เธออ่อนไหวมากเกี่ยวกับตระกูลสายฝน เนื่องจากเธอได้บุกรุกอาณาเขตของพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจในระหว่างการมาเยือนแดนเทพอาเคี่ยนครั้งก่อนของเธอ
  เธอตั้งสมาธิและฟัง วินาทีถัดมาสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป
  เจ้าชายตระกูลสายฝนกำลังจะท้าทายมนุษย์?
  โจแอนนานึกถึงซูผิงขึ้นมาทันที มีมนุษย์ไม่มากนักในสถาบันวิถีสวรรค์ และที่เกี่ยวข้องกับตระกูลสายฝนยิ่งแทบไม่มี เธอจำปัญหาที่ซูผิงก่อไว้กับตระกูลสายฝนก่อนหน้านี้ได้
  เดี๋ยวก่อนนี่คือสถาบันวิถีสวรรค์ เขายังสามารถคืนชีพได้หากเขาถูกฆ่าตาย แต่ความลับของเขาจะถูกเปิดเผย และเทพโบราณในสถาบันจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน… สีหน้าของโจแอนนาเปลี่ยนไปกะทันหัน เธอไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงรีบออกไป จากนั้นเธอก็ถามสาวใช้เพื่อถามทางไปลานประลอง และไปที่นั่นทันที
  ในลานประลอง—
  สถานที่นี้ค่อนข้างหนาวเย็นเนื่องจากไม่ค่อยได้ใช้ และพื้นยังเต็มไปด้วยฝุ่น
  อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ พวกเขามองไปรอบๆ เพื่อหาคนที่ถูกท้าทาย
  “เขาไม่อยู่ที่นี่? เขาหนีไปแล้วหรอ?”
  คนใช้คนหนึ่งกำลังสับสน เธอคือคนใช้ของซูผิง เลือกที่จะมาที่นี่และดูการต่อสู้หลังจากเห็นว่าเขาได้ฆ่าคนใช้ของตระกูลสายฝน อย่างไรก็ตามซูผิงไม่ปรากฏให้เห็น
  “เขาไปที่สำนักกระจกใจ” เทพหนุ่มกล่าว เขาสร้างกระจกเงาขุ่นในมือเพื่อแสดงสิ่งที่เกิดขึ้นนอกสำนักกระจกใจ
  “เขาสมัครใจไปพบเจ้าชายตระกูลสายฝน!”
  “มนุษย์คนนั้นเสียสติไปแล้ว!”
  หลายคนประหลาดใจเพราะคิดว่ามนุษย์พยายามจะฆ่าตัวตาย
  หวืด!
  หวืด!
  ซูผิงรีบไปที่ลานประลอง โดยมีเจ้าชายตระกูลสายฝนติดตามมาอย่างใกล้ชิด
  “พวกเขามาแล้ว”
  “มนุษย์คนนั่นเป็นเพียงเทพสวรรค์ เขาจะชนะได้ยังไง?”
  “เขาจะมาขอความเมตตาหรือเปล่า?”
  หลายคนที่สัมผัสได้ถึงระดับของซูผิงค่อนข้างตกใจ
  ซูผิงเย็นชา ในขณะที่เขาสังเกตเห็นการตรวจสอบระดับของเขากันอย่างเปิดเผย แต่จากนั้นก็เลือกที่จะเพิกเฉยต่อการตรวจสอบทั้งหมด เขาไม่ได้ปิดบังและปล่อยกลิ่นอายทั้งหมดของเขา
  ปัง!
  โม่เฟิงดีดนิ้ว ระฆังในสนามก็ดังขึ้นทั่วทั้งสนามทันที
  ในไม่ช้า ชายชราคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากความว่างเปล่า เขาเป็นเทพสภาวะเทพดวงดาว เขาขมวดคิ้วและมองทุกคน ก่อนที่จะถามว่า “ใครยื่นคำท้าท้าย?”
  ”ข้า!”
  โม่เฟิงตอบโดยที่มือไพล่หลัง ดูเหมือนยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้และดูถูกคนอื่น
  ชายชรามองไปที่เขาและจำตัวตนของเขาได้ จากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย “ใครจะยอมรับคำท้าของเจ้า”
  “ข้า” ซูผิงกล่าว
  ชายชรามองเขาด้วยความประหลาดใจ เขาพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “หนุ่มน้อย อะไรที่ทำให้เจ้าอยากรับคำท้าทายของเจ้าชายตระกูลสายฝนนี่? เจ้าแค่ขอโทษและชดเชยไม่ได้หรือ?”
  เขาคิดว่าผลของการต่อสู้นั้นแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าซูผิงเป็นเพียงเทพสวรรค์ และนั่นจะเป็นการเข่นฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว นอกจากนี้เขายังตรวจพบตราศิษย์บนตัวของซูผิง ซึ่งระบุว่าเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ มีคุณสมบัติเทพและพรสวรรค์ เขาไม่ต้องการให้ซูผิงตายตั้งแต่ยังเด็ก
  “มันสายเกินไปแล้ว” โม่เฟิงเย้ยหยัน
  เมื่อรู้สึกถึงความใจดีของชายชรา ซูผิงพยักหน้าให้เขาและกล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส แต่นั่นจะไม่จำเป็น”
  ชายชราเหลือบมองพวกเขาและถอนหายใจ เขาเคยเห็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์และทะเยอทะยานมามากเกินไป เขาจึงหยุดโน้มน้าว “งั้นก็เตรียมตัว”
  เขาโบกมือหลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในลานประลองเพื่อเรียกใช้กฎศักดิ์สิทธิ์ที่จะปิดกั้นทั้งลาน
  “การต่อสู้กันตัวต่อตัวจะไม่จบเว้นแต่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายหรือผู้ชนะจะให้อภัยผู้แพ้ ข้าหวังว่าใครก็ตามที่ชนะจะยังมีความเมตตาอยู่” ชายชรากล่าวช้าๆ เขาพูดคำนี้เป็นล้านครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครที่เข้ามาในลานเคยฟังเขาเลย ผู้เข้าท้าทายคนหนึ่งจะต้องตายอย่างแน่นอน
  “ความเมตตาของข้าคือการทำให้เขาตายอย่างไม่เจ็บปวด!” ความโหดร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เฟิงในขณะที่เขาเปิดเผยธรรมชาติที่แท้จริงของเขา เพราะตอนนี้เขาไม่กลัวว่าซูผิงจะหลบหนีได้อีกต่อไปแล้ว..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว