ตอนที่ 452 ฟางผิงที่สมบูรณ์แบบ (1)
………………..
วันที่ 10 มีนาคม
วันนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร รัฐบาลกลับแถลงการณ์ประกาศนโยบายใหม่ออกมาไม่น้อย ทำให้หลายคนต้องตกตะลึง!
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
เห็นเอกสารที่ถูกปล่อยออกมาพวกนี้ แม้ฟางผิงจะคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงว่ารัฐบาลจะปล่อยออกมารวดเดียวเยอะขนาดนี้
“ตั้งแต่ปี 2010นักศึกษาในสถาบันระดับสูงสายทั่วไปทั้งประเทศ (รวมถึงสาขาสังคมในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้) สามารถสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ในปี 2010 ได้ ผู้ที่คะแนนแตะถึงเกณฑ์มาตรฐาน สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้”
แค่การเคลื่อนไหวของนโยบายเรื่องแรกก็ทำให้ฟางผิงตกตะลึงได้แล้ว
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์
ห้องทำงานประธาน
ฟางผิงพึมพำว่า “จะเข้าสู่ยุคของผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ แล้วงั้นเหรอ?”
ทั่วประเทศมีนักศึกษาทั้งหมดเท่าไหร่?
นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้น้อยจนไม่รู้จะน้อยยังไงแล้วจริงๆ สองปีมานี้ขยายการรับสมัครขึ้นบ้างแล้ว อยู่ในมหาวิทยาลัยน่าจะประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นคน
ก่อนหน้านี้คนน้อยยิ่งกว่านี้อีก
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เก้าสิบเก้าแห่ง ไม่ใช่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้โดยตรงทั้งหมด หลายมหาวิทยาลัยรับสาขาทั่วไปด้วย สาขาศิลปะการต่อสู้ก็เป็นแค่สาขาหนึ่งในนั้น จำนวนคนน้อยมาก
อย่างเช่นหนานเจียง มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มีสามแห่ง แต่นอกจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง มหาวิทยาลัยอีกสองแห่งรับนักศึกษาสายศิลปะการต่อสู้ประมาณหนึ่งร้อยคนเท่านั้น
ทั้งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมีทั้งหมดกี่คน?
จากการคำนวณนักศึกษาที่จะเรียนจบในปีนี้แตะสูงถึงหกล้านกว่าคน เกือบจะเจ็ดล้านแล้ว
แต่คนพวกนี้ล้วนเป็นนักศึกษาสาขาทั่วไป
นี่ไม่ใช่ทั้งหมด รวมถึงนักเรียนที่สอบเกาเข่าในปีนี้เกือบสิบล้านคน นี่ก็เป็นสามสิบห้าล้านคนแล้ว!
เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสมัครสอบศิลปะการต่อสู้ได้ แต่ปีนี้ยังมีอีกนโยบายประกาศลงมา ยกเลิกเก็บค่าสมัครสอบสายศิลปะการต่อสู้ ทุกอย่างฟรีหมด!
นี่หมายความว่าเพื่อให้คนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ยังยกเลิกเก็บค่าสมัครสอบ รวมถึงเปิดโอกาสให้นักศึกษาสายทั่วไปที่ไม่ยินดีจะเรียนจบเป็นนักศึกษาธรรมดาด้วยเช่นกัน…
สามสิบล้านคนเข้าร่วมการสอบสายศิลปะการต่อสู้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
แม้จะมีอัตรารับแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ต้องรับสมัครนักศึกษาสายศิลปะการต่อสู้ถึงสามสิบล้านคน
“จะก้าวเร็วเกินไปหรือเปล่า?”
ฟางผิงขมวดคิ้วไม่หยุด มองนโยบายเรื่องที่สองต่อ เอกสารนี้พุ่งเป้ามาที่มหาวิทยาลัยสายศิลปะการต่อสู้แต่ละแห่ง
“มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ตามหลักแล้วปี 2010 จะรับสมัครนักศึกษาไม่ต่ำกว่าสี่พันคน”
ด้านข้างนั้นเฉินอวิ๋นซีรินชาให้ฟางผิง เอ่ยเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้นายก็วางแผนจะขยายการรับสมัครไม่ใช่หรือไง?”
ฟางผิงขมวดคิ้วว่า “ไม่ใช่ปัญหาเรื่องนี้ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้รับสมัครสี่พันคน อันที่จริงพวกเรายังคงรับไหว ทั้งกระทรวงการศึกษาปล่อยเอกสารออกมา ก็หมายความว่าจะเพิ่มเงินจัดสรรด้วยเช่นกัน สิ่งที่ฉันคิดคือมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ยังรับคนเยอะขนาดนี้ งั้นมหาวิทยาลัยอื่นล่ะ? เยอะเกินไปแล้ว ถ้าปีนี้รับนักศึกษากว่าสามแสนคน ฉันกลัวว่าคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ต่างๆ จะลดฮวบลงอย่างมาก”
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้บ่มเพาะนักศึกษาหัวกะทิเป็นหลัก
อย่ามองว่านักศึกษาหลายคน แม้จะจบไปแล้วยังอยู่ขั้นหนึ่งขั้นสอง อันที่จริงไม่ถือว่าช้าเกินไป ยังไงตอนที่เรียนจบคนพวกนี้ก็อายุเพิ่งยี่สิบต้นๆ เท่านั้น
ขัดเกลาอยู่ในสังคมอีกไม่กี่ปี ศิษย์เก่าที่จบไปจำนวนมากล้วนสามารถเข้าสู่ขั้นสามก่อนอายุสามสิบได้
คนที่เงื่อนไขดีหน่อย เข้าสู่ระดับกลางก็มีให้เห็นไม่น้อย
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคม ไม่มีเงื่อนไขนี้ รวมถึงผู้ฝึกยุทธ์หน่วยทหาร โอกาสที่เข้าสู่ระดับกลางมีน้อยกว่านักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้
สิ่งที่ฟางผิงคิดคือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป จะสามารถรับไหวหรือเปล่า?
อย่างเช่นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง เมื่อก่อนแต่ละรุ่นรับประมาณหนึ่งพันคน ปีก่อนเยอะกว่านี้อยู่บ้าง
ปีนี้…มหาวิทยาลัยหนานเจียงจะรับโควตานักศึกษากี่คนกัน?
ฟางผิงนึกมาถึงตรงนี้ ไม่นานก็ต่อสายหาหวังจินหยาง สอบถามไม่กี่ประโยค ก่อนจะวางสายไป ส่ายหัวว่า “มหาวิทยาลัยหนานเจียงก็รับที่สี่พันคนเหมือนกัน เทียบกับเมื่อก่อนมากถึงสองพันกว่าคน! จากที่หวังจินหยางพูด มหาวิทยาลัยอีกสองแห่งที่ไม่ใช่สายศิลปะการต่อสู้โดยตรง ปีนี้นึกไม่ถึงว่าจะรับกว่าหนึ่งพันคน!”
“จะเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไปแล้ว แถมนึกไม่ถึงว่าจะไม่มีขั้นตอนเตรียมพร้อมอะไรให้มาก่อน แทบไม่ได้หารือกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ด้วย”
ฟางผิงขมวดคิ้วต่อ นี่หมายความว่าอันที่จริงรัฐบาลเตรียมการณ์อย่างไม่ครอบคลุมเท่าไหร่ แต่จำเป็นต้องออกนโยบายเร็วขนาดนี้เลยหรือไง
ดูท่าสถานการณ์จะตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ทำให้รัฐบาลร้อนใจตาม
อันดับแรกเป็นถ้ำใต้ดินหนานเจียง เข้าไปก็เจอกับสองเมืองร่วมมือกัน
หลังจากนั้นก็เป็นถ้ำใต้ดินปักกิ่งที่เกิดความวุ่นวาย
ถัดจากนั้นอีกถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้เกิดความปั่นป่วน ถ้ำใต้ดินเทียนหนานกำลังจะอุบัติขึ้น ต่างประเทศก็เกิดความเคลื่อนไหวไม่น้อยเช่นกัน…
ตั้งแต่ปลายปี 2009 ก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นติดต่อกันไม่หยุด สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์แบบนี้ รัฐบาลทำได้แค่ผลักดันแผนที่ทำให้ทุกคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ออกมาเร็วขึ้นเท่านั้น
ทั้งนักศึกษาสายทั่วไปสามารถสมัครสอบร่วมกัน นี่ก็เป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้
นักศึกษามหาวิทยาลัยพวกนี้ ก่อนหน้านี้เคยสัมผัสกับเรื่องศิลปะการต่อสู้มาบ้าง บางคนสอบไม่ติด แต่พื้นฐานยังคงมีอยู่
รวมถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยก็อายุยังน้อย อยู่ใน่ช่วงเวลารุ่งโรจน์ พื้นฐานความรู้ต่างๆ มีเพียงพอ สำหรับการเรียนศิลปะการต่อสู้ก็จะสามารถเข้าใจซึมซับได้อย่างรวดเร็ว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน