ตอนที่ 85 ศิษย์ในศิษย์นอก
เซี่ยงไฮ้มีขนาดใหญ่อย่างมาก
แน่นอนว่า ความเป็นจริงพื้นที่ภายใต้การควบคุมของเซี่ยงไฮ้ไม่นับว่าใหญ่อะไร ถึงกระทั่งยังเล็กกว่าพื้นที่ของเจียงเฉิงด้วยซ้ำ
เป็นเพราะความรู้สึกคลาดเคลื่อนจากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โต ตึกอาคารสูงเด่นมากมาย จำนวนประชากรที่เดินกันเบียดเสียด นั่งรถแล้วยังต้องอ้อมแล้วอ้อมอีกจนคุณหัวหมุน
ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน แออัดในรถสาธารณะ อาจจะสิ้นเปลืองเวลาคุณไปหลายชั่วโมง
หากเป็นเมืองเล็กๆ อย่างหยางเฉิงคงไม่เกิดความรู้สึกคลาดเคลื่อนแบบนี้หรอก สรุปง่ายๆ คือ รถวิ่งเร็วทั้งระยะทางเท่ากัน แต่นั่งรถโดยสารในหยางเฉิงกลับสามารถประหยัดเวลาได้เกินกว่าครึ่ง
จากสถานีรถไฟถึงมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ฟางผิงเปลี่ยนรถไฟฟ้ามาแล้วสองสาย นั่งรถเมล์อีกหนึ่งเที่ยวจึงค่อยมาถึงที่หมาย
ระยะทางไม่ถึงสี่สิบกิโลเมตร ฟางผิงใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงกว่า
ที่นี่ต่างจากเขตปกครองอื่นที่ฟางผิงรู้จักอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะมีผู้ฝึกยุทธ์คอยควบคุมจึงทำให้การบริหารจัดการค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
เซี่ยงไฮ้ไม่ได้แบ่งเขตปกครองมากมาย ทั้งไม่ได้ซับซ้อน เซี่ยงไฮ้แบ่งเป็นหกเขตเท่านั้น
ทางเหนือคือเขตเป่ยติ้ง
ทางตะวันตกคือเขตซีเจียง
ทางใต้คือเขตหนานเฟิ่ง
ทางตะวันออกคือเขตตงผู่
นอกจากนี้ยังรวมมีพื้นที่เศรษฐกิจใจกลางเมือง…เขตว่านฮุ่ย รวมถึงพื้นที่ติดทะเลแถบตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตั้งใจแบ่งออกมาเป็นเมืองมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ ทั้งถือเป็นเขตปกครองที่อิสระ
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่ในเขตเมืองมหาวิทยาลัย หรือจะพูดอีกอย่างว่า นอกจากมหาวิทยาลัยสายสังคมแห่งอื่นแล้ว มหาวิทยาลัยที่มีสาขาศิลปะการต่อสู้ในเซี่ยงไฮ้ต่างอยู่รวมกันในเขตเมืองมหาวิทยาลัยทั้งหมด
พื้นที่เมืองมหาวิทยาลัยนั้นกว้างขวางอย่างมาก แทบจะคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเขตหนานฮุ่ยในความทรงจำฟางผิง
เมืองมหาวิทยาลัยครองพื้นที่เกือบแปดร้อยตารางกิโลเมตร
ส่วนมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ เป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงสุดของเมืองมหาวิทยาลัย ไม่มีที่ใดเทียบได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงสุด เรื่องคะแนนคงไม่ต้องพูดถึง มหาวิทยาลัยนั้นครองพื้นที่จนเป็นที่น่าตกใจ
สามหมื่นหมู่[1]!
นี่เป็นข้อมูลที่ฟางผิงหาเจอจากอินเตอร์เน็ต สามหมื่นหมู่ยี่สิบตารางกิโลเมตรคือพื้นที่ทั้งหมดของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
รวมกับนักศึกษา อาจารย์ ครอบครัว ทั้งคนงานต่างๆ ก็เกือบหมื่นคนแล้ว ครองพื้นที่เฉลี่ยสองพันตารางเมตรต่อคน
—
ตอนที่ฟางผิงลงจากรถโดยสาร สิ่งที่เขารู้สึกคือตกตะลึง
เขาเคยเห็นโรงเรียนมามาก
เคยไปมหาวิทยาลัยมาหลายที่
แต่สถานที่อย่างมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ แค่ประตูทางเข้าก็กว้างเกือบร้อยเมตร นี่ยังเรียกว่าประตูอีกหรือไง?
รถยนต์เรียงเข้าพร้อมกันห้าสิบคันยังได้
“จะมีนักศึกษาขับเรือบรรทุกเครื่องบินเข้ามาหรือไง?”
ฟางผิงยืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้
ความกว้างร้อยเมตร ขับเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปได้ด้วยซ้ำ สร้างประตูใหญ่ขนาดนี้ ฟางผิงไม่อาจเข้าใจรสนิยมของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งนี้จริงๆ
แต่พื้นที่มหาวิทยาลัยกว้างขวาง มีประตูใหญ่อลังการเช่นนี้ ใช่ว่าจะรับไม่ได้เสียทีเดียว
ประตูใหญ่เป็นร้อยเมตร ความสูงคงไม่ใช่เล่นๆ อยู่แล้ว หอประตูด้านบนอย่างต่ำน่าจะสูงประมาณสิบเมตร ทั้งยังสลักตัวอักษรติดไว้อย่างงดงามตระการตา…มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้!
นี่ทำให้ฟางผิงรู้สึกเหมือนมาเยือนเมืองยักษ์ ส่วนเขาเป็นแค่คนกะจ้อยร่อย ยิ่งยืนอยู่หน้าประตูแบบนี้ ยิ่งอดคิดไม่ได้จริงๆ
ตอนที่ฟางผิงกำลังตกตะลึง ด้านหลังกลับมีเสียงดังขึ้น “อึ้งเลยใช่ไหมล่ะ?”
ก่อนหน้านี้ฟางผิงรับรู้ได้เหมือนกันว่ามีคนยืนข้างหลังเขา เขาไม่ได้สนใจนัก ตอนนี้หน้าประตูของมหาวิทยาลัยมีคนพลุกพล่านไม่น้อยเช่นกัน
หากมาเซี่ยงไฮ้ ไม่มาดูมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้สักหน่อย คงจะน่าเสียดาย
แม้จะไม่สามารถเข้าไปเรียนได้ แต่ทุกคนต้องไม่พลาดมาชื่นชมสถานศึกษาระดับสูงของประเทศอยู่แล้ว
มองแค่ประตูทางเข้า ก็ทำให้ใครหลายคนรู้สึกมาไม่เสียเที่ยวแล้ว
ฟางผิงหันไปมอง ก่อนจะพบว่าด้านหลังเขามีวัยรุ่นที่อายุพอๆ กับตัวเองยืนอยู่
หน้าตาหล่อเหลา ผมค่อนข้างยาว ใบหน้ายังเผยรอยยิ้ม
ไม่เหมือนรอยยิ้มอ่อนโยนของหวังจินหยาง วัยรุ่นคนนั้นยิ้มอย่างทระนงตน ทั้งแฝงความรู้สึกเย้ยหยันอยู่บ้าง
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฟางผิงกลับไม่ใช่หน้าตาหรือรอยยิ้ม แต่เป็นดาบยาวไร้ฝักในมือวัยรุ่นคนนั้น
ใบมีดสีเข้มนั้นพาให้คนอดเสียววาบไม่ได้อยู่บ้าง
นี่ทำให้ฟางผิงรู้สึกแปลกๆ ไม่น้อย วัยรุ่นสมัยนี้สวมเสื้อยืดกางเกงกีฬา ในมือกลับถือดาบยาวเกือบเมตร
เห็นฟางผิงมองดาบในมือตัวเอง จู่ๆ วัยรุ่นคนนั้นก็แกว่งดาบเล่น พลางหัวเราะ “กลัวงั้นเหรอ?”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รับบทสนทนา
เขาไม่รู้จักคนตรงหน้า เขาแค่มาดูประตูมหาวิทยาลัยเท่านั้น พูดสุ่มสี่สุ่มห้าใครจะไปรู้ว่าอาจมีปัญหาอย่างอื่นตามมาหรือเปล่า
วัยรุ่นคนนั้นไม่สนใจเหมือนกัน เห็นฟางผิงเมินเฉยเลยวางดาบลง ปล่อยปลายมีดจิ้มพื้น ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เด็กใหม่?”
“อืม”
“ฉันแค่ลองเดา ลากกระเป๋าสัมภาระ ยืนตะลึงอยู่หน้าประตู ท่าทางราวกับไม่เคยผ่านโลก ต้องเป็นเด็กใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งยังเป็นเด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ด้วย ถูกหรือเปล่า?”
วัยรุ่นคนนั้นคล้ายปลาบปลื้มกับการคาดการณ์ของตัวเอง
ฟางผิงไร้คำพูดอยู่บ้าง ดูจากน้ำเสียงและเนื้อหาที่พูดแล้ว อีกฝ่ายคงไม่ได้มาหาเรื่อง
ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนฟางผิงจะเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ปราณฉันเกินหนึ่งร้อยแปดสิบแคล เดาว่าเป็นเด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอกมั้ง?”
“ฮ่าๆ เหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
วัยรุ่นคนนั้นหัวเราะขึ้นมาทันที “พวกมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ข้างๆ นี้จะเทียบกับมหาวิทยาลัยของพวกเราได้ยังไง! เด็กใหม่ที่หลอมกระดูกครั้งที่สอง ต้องมามหาวิทยาลัยพวกเราเท่านั้น เชื่อฉันเถอะ นายเลือกไม่ผิดที่จริงๆ!”
แค่มองก็แยกได้แล้วว่าฟางผิงหลอมกระดูกครั้งที่สอง ทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง วัยรุ่นคนนี้ต้องมีพลังแข็งแกร่ง หูตาว่องไว
ปราณของคนที่ใกล้ทะลวงด่านและหลอมกระดูกครั้งที่สองแทบไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง
ปกติจะตรวจสอบพลังของคนอื่น ฟางผิงมักจะใช้ระดับปราณเป็นตัวตัดสิน ที่สถานีรถไฟเหมือนกัน

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน