ระบบเจ้าสำนัก นิยาย บท 1789

“โชคร้ายที่ข้ามัวแต่ถามคำถาม จึงไม่มีเวลาทำความเข้าใจทักษะสร้างในลานแห่งวิวรณ์ ” จางลู่ตบหน้าขาตัวเอง
  เขาจำได้ว่าในลานนั้นมีเสาแสงที่มีพลังสร้างระดับสูง
  หากเขาเข้าใจความลึกลับของมันแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นมาอย่างมากแน่ ในเวลาเดียกันความแข็งแกร่งก็จะพัฒนาขึ้นไปด้วย
  เมื่อคิดแบบนั้นจางลู่ก็พูดขึ้นมาด้วยความเสียดาย “ ข้าขอโทษด้วย เรื่องนี้ข้าพลาดเอง”
  ต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายในการเข้าไปในสุสานครั้งนี้ นอกจากการสำรวจสุสานแล้ว ก็คือเรียนรู้ทักษะสร้าง
  “ รึว่าข้าควรจะไปที่สุสานอีกครั้ง ?” จางลู่ถามขึ้นมา
  “ เจ้าคิดว่าจิตสวรรค์จะยอมให้โอกาสเจ้ารึ ?” จางหยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะรึร้องไห้ดี
  พวกเขาฉีกหน้าจิตสวรรค์ไปแล้ว ถือว่าเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายแล้ว นอกซะจากว่าจิตสวรรค์จะโง่ งั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้โอกาสจางลู่ได้เรียนรู้ทักษะสร้าง ยังไงซะการให้โอกาสจางลู่ก็เท่ากับสร้างศัตรูที่แข็งแกร่ง
  “ ข้าเดาว่าบทบาทของพลังสร้างระดับสูงนั้นคงช่วยเพิ่มระดับความแข็งแกร่งขึ้นมา หรือไม่ก็ช่วยให้การบ่มเพาะดีขึ้น แต่ไม่น่าจะช่วยให้ข้าขึ้นไปถึงขอบเขตนั้นได้” จางหยูพูดขึ้น “ไม่งั้นแล้วจิตสวรรค์คงขึ้นไปยังขอบเขตนั้นเต็มตัวแล้ว”
  ความเข้าใจทักษะสร้างนั้นเดาว่าคงไม่มีใครในโกลาหลนี้ทัดเทียมกับจิตสวรรค์ได้
  แม้แต่บรรพชนกระดูกก็อาจจะด้อยกว่ามาก
  เมื่อจิตสวรรค์ไม่อาจจะเข้าไปถึงขอบเขตนั้นได้ งั้นจางหยูก็มั่นใจว่าเขาประเมินทักษะสร้างสูงเกินไป
  จางหยูไม่คาดหวังกับทักษะสร้างอีก เขาตั้งใจจะเริ่มจากโลกตันเถียนของตัวเองจะดีกว่า
  ตอนนี้มันมีหลายวิธีที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาขึ้นมา หนึ่งคือการขยายบรรพกาลของโลกบรรพกาลและโลกผนึกเทพต่อ อีกทางคือหาทางให้โลกอื่นๆยกระดับขึ้นมาเป็นโลกขั้นที่ 9 เพื่อที่จะมีบรรพกาลกำเนิดขึ้นมามากกว่าเดิม การกำเนิดบรรพกาลนั้นจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจางหยูอย่างมาก จากนั้นด้วยการกำเนิดบรรพกาลอื่นๆก็จะยกระดับความแข็งแกร่งของเขาขึ้นมา
  แม้ว่าคุณภาพจะไม่สูงแต่ก็ทดแทนด้วยปริมาณได้
  หากโลกด้านในทั้งหมดขึ้นเป็นโลกขั้นที่ 9 แล้ว จำนวนบรรพกาลก็จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยอัน จากนั้นความแข็งแกร่งของจางหยูก็จะเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ บางทีเขาอาจจะขึ้นไปยังขอบเขตจ้าวโกลาหลได้
  แต่เส้นทางนี้กินเวลา โลกขั้น 7 และ8 ตอนนี้ขึ้นเป็นโลกขั้นที่ 8 กันแล้ว มันเกือบจะเลื่อนขั้นแต่ก็ยังมีโลกมากมายที่ตอนนี้เพิ่งขึ้นมาแค่ขั้น 7 มันถึงกับมีโลกขั้น 6 อยู่ด้วย การยกระดับโลกขั้นต่ำเหล่านั้นขึ้นเป็นโลกขั้น 9 ไม่ใช่แค่จางหยูต้องเปลืองพลังงานอย่างมากแต่ยังต้องใช้เวลาด้วย
  การขยายบรรพกาลดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า
  คำถามเดียวตอนนี้คือจะขยายมันออกไปยังไง ?
  จางหยูรับรู้ได้ว่าแม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรแต่บรรพกาลก็จะขยายตัวออกไปทีละนิดๆ แต่ความเร็วระดับนี้เขาไม่พอใจ ก่อนหน้านี้มีต้นไม้โกลาหลอยู่ในบรรพกาล อัตราการเติบโตของที่นี่ถือว่าค่อนข้างดีแต่เมื่อต้นไม้โกลาหลออกจากที่นี่ไป อัตราการเติบโตของบรรพกาลนั้นก็ลดลงมา  มันช้าอย่างมาก !
  ช้าเกินไป !
  สำหรับจางหยูที่มีพลังเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วย่อมไม่อาจจะรับได้ที่ต้องพัฒนาตัวเองได้ช้าแบบนี้
  แม้ว่าจะช้าลงแต่ก็ควรรอจนกว่าเขาขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ซะก่อน ตอนนี้เขายังไม่ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะรับได้
  “ ต้องหาทางเร่งความเร็วในการขยายบรรพกาลออกไป ” จางหยูกดดันอย่างมาก แรงกดดดันนี้มาจากจิตสวรรค์และ บรรพชนกระดูก
  เขาไม่คิดว่าพลังของเขาจะทะยานขึ้นจนจัดการกับทั้งสองได้ แต่อย่างน้อยก็ควรปกป้องตัวเองได้ นี่คือปัญหาที่เขาต้องแก้โดยเร็วที่สุด
  “ เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร ?” จางลู่ถามขึ้นมา  จางหยูส่ายหน้าและพูดขึ้น “ ภารกิจของเจ้ามีแค่อย่างเดียว ติดต่อกับบรรพชนกระดูก เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์และดูท่าทีของเขา ท่าทีของเขาสำคัญอย่างมาก ”
  แม้ว่าจางลู่จะสลดนิดๆแต่ก็ต้องฟังคำสั่งของจางหยู
  หลังจากที่พักได้ไม่นาน จางลู่ก็ได้เดินทางอกกไปยังโกลาหล จากนั้นเขาก็ได้ใช้งานบัตรหยกที่ซุนเมิ่งให้มา ก่อนจะเกิดวังวนขึ้นตรงหน้าเขา จางลู่ได้พุ่งเข้าไปและหายตัวไปจากโกลาหล
  ที่บรรพกาล จางหยูคิดจะไปหาเนี่ยเวิ่นเพื่อถามถึงสถานการณ์ทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นร่างแยกของต้นไม้โกลาหลแต่ก็ยังมีความคิดที่เชื่อมต่อกับต้นไม้โกลาหล แม้ว่าเนี่นเวิ่นจะไม่รู้ข้อมูลแต่ก็สามารถถามกับต้นไม้โกลาหลได้
  แต่จางหยูยังไม่ทันได้ลงมือ เขาก็ตาเป็นประกายขึ้นมา “ ใช่ ต้นไม้โกลาหล…”
  เมื่อต้นไม้โกลาหลเพิ่มความเร็วในการขยายตัวให้กับบรรพกาลได้ งั้น…มันจะให้ผลแบบเดียวกันรึไม่หากเขาสร้างต้นไม้บรรพกาลที่คล้ายกับต้นโกลาหลขึ้นมา ?
  มันอาจจะไม่เหมือนกัน แต่มันไม่จำเป็นต้องส่งผลดีเท่ากับต้นโกลาหล ตราบใดที่มีการทำงานที่คล้ายกันก็เพียงพอสำหรับจางหยูแล้ว
  เมื่อคิดได้แบบนั้นจางหยูก็ไม่รีรอ เขาเริ่มทำการทดสอบทันที
  เขาได้นึกถึงภาพของต้นไม้โกลาหล จากนั้นเขาก็ควบคุมพลังบรรพกาลเพื่อสร้างต้นไม้ที่เหมือนกับต้นโกลาหลขึ้นมา ไม่นานต้นไม้ก็เริ่มก่อตัวขึ้นแต่มันไม่ได้มีคลื่นชีวิต มันไม่ได้มีสติรึความคิด ส่วนที่น่าผิดหวังที่สุดคือต้นไม้นี้ไม่ได้มีกฎพิเศษเหมือนต้นโกลาหล หลังจากที่สร้างรูปร่างขึ้นมาแล้ว อัตราการเติบโตของบรรพกาลก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
  “ รูปร่างคล้ายกันแต่มันไม่เหมือนกัน” จางหยูตระหนักได้ว่าพื้นฐานมันยังต่างกันอยู่
  แก่นแท้ของต้นไม้โกลาหลคืออะไร ?   เขาคิดถึงบทสนทนาที่คุยกับต้นโกลาหลก่อนหน้านี้
  ตอนนั้นต้นโกลาหลบอกว่ามันคือต้นกำเนิดชีวิต มันคือที่ที่ชีวิตกำเนิดขึ้นมา
  หลังจากที่กำเนิดจ้าวโกลาหลขึ้นมา โกลาหลก็กำเนิดขึ้นพร้อมกับต้นไม้โกลาหลซึ่งนี่คือสิ่งมีชีวิตแรกของโกลาหล
  ต้นโกลาหลและโกลาหลเป็นหนึ่งเดียวกัน ต้นโกลาหลคอยสนับสนุนโกลาหล หากต้นโกลาหลตายไป งั้นโกลาหลก็จะพังลงไปด้วย
  “ ไม่แปลกเลยที่จิตสวรรค์และบรรพชนกระดูก ถึงไม่คิดทำอะไรกับต้นโกลาหล….”
  ความแข็งแกร่งของต้นโกลาหลคือหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลคือพวกเขารู้ว่าชีวิตของต้นโกลาหลนั้นหมายถึงการอยู่รอดของโกลาหลด้วย เมื่อเจ้าของตายไป โกลาหลก็อาจจะทนไว้ได้สักพักแต่เมื่อต้นโกลาหลตายไป งั้นโกลาหลก็จะพังลงไปด้วย  ไม่ว่าจะเป็นจิตสวรรค์รึบรรพชนกระดูกต่างก็ต้องใช้เวลาเตรียมตัว เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ทำอะไรกับต้นโกลาหล พวกเขาแค่คอยรักษาความปลอดภัยให้กับต้นไม้โกลาหลไม่ให้ใครทำร้าย ไม่งั้นแล้วโกลาหลจะถูกทำลายไปก่อนที่จะชุบชีวิตจ้าวโกลาหลขึ้นมาสำเร็จรึสร้างโกลาหลใหม่ขึ้นมา
  หลังจากที่คิดได้สักพักจางหยูก็ได้เบาะแสขึ้นมา “ ข้าเข้าใจแล้ว”
  แก่นแท้ที่ต่างกันระหว่างบรรพกาลและโกลาหลคือต้นโกลาหล !
  บรรพกาลนั้นเหมือนกับต้นอ่อน แม้ว่าจะเติบโตอย่างมั่นคงแต่มันก็ไม่มีใครให้พึ่ง โกลาหลต้องพึ่งต้นโกลาหล จางหยู ต้องแก้ปัญหานี้เพื่อจะหาสิ่งที่จะสนับสนุนบรรพกาล การสนับสนุนนี้คล้ายกับตัวตนของต้นโกลาหล มันอาจจะเป็นอย่างอื่นได้
  “ ที่ข้าต้องการตอนนี้ไม่ใช่ต้นโกลาหลแต่เป็นต้นบรรพกาล !” จางหยูตาเป็นประกายยิ่งกว่าเก่า  ชัดแล้วว่ามันไม่ได้ง่ายที่จะสร้างต้นบรรพกาลที่เหมาะกับบรรพกาลขึ้นมาแต่เมื่อสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ งั้นจางหยูอาจจะขึ้นเป็นจ้าวบรรพกาลได้
  แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่จางหยูคาดเดาแต่มันก็คุ้มค่าที่จะทดลอง
  …
  ที่วังวนอันมืดมิด
  จางลู่เพิ่งจะมายังโกลาหลเป็นครั้งแรก แต่จางหยูได้ส่งความทรงจำทั้งหมดของที่นี่ให้กับเขาแล้ว ดังนั้นจางลู่จึงไม่ได้สับสนกับที่นี่
  บอกได้ว่าโกลาหลนภากับสุสานสวรรค์นั้นคล้ายกันอย่างมาก แม้ว่ารูปแบบภายนอกจะต่างกัน อันหนึ่งมีรูปแบบเหมือนแผ่นดิน ส่วนอีกอันมีรูปแบบคล้ายโกลาหล แต่โดยแก่แท้แล้วมันคือมิติพิเศษที่เหนือกว่าโลกขั้นที่ 9 สุสานเต็มไปด้วยปราณสุสาน ส่วนโกลาหลนภาเต็มไปด้วยพลังมิติเวลาและพลังโกลาหลก่อตัวเป็นพลังพิเศษ  จางลู่เดินทางเข้าไปถึงลานหินได้อย่างรวดเร็ว
  ลานหินนี้ตั้งอยู่ใจกลางโกลาหลนภา ใจกลางลานหินนั้นมีเสาแสงที่แผ่พลังพิเศษออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยว
  บนลานหินนั้นมีราชาหลายคนกำลังถ่ายจิตผู้สร้างและพลังสร้างเข้าไปในเสาแสง
  ฉากนี้เหมือนกับฉากที่จางลู่เห็นในลานแห่งวิวรณ์ของสุสาน แต่มันต่างกันที่กลุ่มคนเท่านั้น
  “ แม้ว่าจิตสวรรค์จะโกหกแต่ก็น่าจะมีความจริงเรื่องกฎวิวรณ์อยู่” จางลู่ตัดสินว่าบรรพชนกระดูกนั้นคงเชี่ยวชาญกฎวิวรณ์จริงๆ ลานหินนี้เหมือนกับลานแห่งวิวรณ์ “ ไม่รู้ว่าบรรพขนกระดูกจะเป็นแบบที่จิตสวรรค์พูดมาจริงรึไม่ เขาคือคนทรยศจริงๆรึ ?”
  ตอนนั้นบรรพชนกระดูกเหมือนจะรับรู้ถึงการมาของจางลู่ได้ เขายิ้มออกมา “เจ้ากลับมาแล้ว”   แต่จางลู่ยังไม่ทันได้พูด บรรพชนกระดูกก็รับรู้ถึงความผิดปกติของจางลู่ได้ “ เจ้าไม่ใช่จางหยู? ไม่สิ…เจ้าคือร่างแยกของจางหยูงั้นรึ ?”
  ร่างแยก !
  แม้ว่าภายนอกจะแสดงท่าทีเยือกเย็นแต่ในใจเขากลับตกตะลึงอย่างมาก
  “ ร่างแยกรึ ?” คนอื่นๆไม่ได้เห็นอะไรผิดปกติ พวกเขาไม่เข้าใจคำพูดของบรรพชนกระดูก
  บรรพชนกระดูกส่ายหน้าและสูดหายใจเข้าลึกๆ “พวกเจ้าจัดการไปก่อน ข้าจะคุยกับจางหยูเพียงลำพัง”
  เมื่อพูดจบบรรพชนกระดูกก็หายตัวไป ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายจางลู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก