คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้หลี่เสวียนหน้าซีด
เขารีบตอบไปตามจิตใต้สำนึกว่า “ข้า ข้าไม่ได้กบฏ เสด็จแม่และท่านอาจารย์ตกลงจะให้ข้าดูพวกนั้น พวกเขาบอกว่าข้าควรเรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า...”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เว่ยเสียนที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ ก็แทบกระอักเลือดออกมา
องค์ชายเก้าเหตุใดจึงไร้ความคิดเช่นนี้ คำพูดเช่นนั้นกล่าวออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร
“เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า?”
หลี่เฉินจับจุดอ่อนของหลี่เสวียนได้ น้ำเสียงของเขาสูงขึ้นสองส่วน “เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้าเพื่ออะไร? หรือว่าเจ้าอยากให้เสด็จทรงสวรรคต จากนั้นก็เอาตำแหน่งของข้าไป?”
ในที่สุดหลี่เสวียนก็รู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไป
เขาหน้าซีด คุกเข่าลงเสียงดังตุบ รีบอธิบายด้วยความตื่นกลัวว่า “พี่รอง ข้า ข้าไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น...”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของหลี่เสวียนจึงถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ และวิ่งตรงไปที่วังฮองเฮา
“จะมีความหมายเช่นนั้นหรือไม่ ข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง”
หลี่เฉินพูดจบ เขาก็หันไปสั่งขันทีซานเป่าว่า “หูหนวกเหรอ? หรือจะให้ข้าลงมือเอง?”
ขันทีซานเป่าได้ยินก็รีบลุกขึ้นยืน สั่งองครักษ์เสื้อแพรสองนายให้ลากเว่ยเสียนออกไป
บาดแผลบนใบหน้าของเว่ยเสียนยังคงอยู่ และเลือดก็ยังไหลไม่หยุดเมื่อเขาถูกลากออกไป ก็ทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวไว้ใต้ร่างของเขา มีเพียงเสียงกรีดร้อง “องค์รัชทายาท ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย ข้าเพียงแต่ทำตามคำสั่ง ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย!”
เสียงของเว่ยเสียนค่อยๆ ห่างออกไป สุดท้ายก็ไม่เห็นตัวคน
หลี่เฉินเดินเข้าไปในห้องโถงสำนักขันทีฝ่ายตรวจฎีกาด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก
ตอนนี้ กลุ่มขันทีของสำนักขันทีฝ่ายตรวจฎีกากำลังนั่งคุกเข่าบนพื้นและตัวสั่น
พวกเขาเห็นด้วยตาตนเองว่า เว่ยเสียนผู้หยิ่งผยองในสำนักขันทีฝ่ายตรวจฎีกานั้น ถูกคำพูดของหลี่เฉินไม่กี่คำก็โดนลากไปตัดหัว เวลานี้พวกเขายิ่งตกใจและหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น และไม่กล้ามองไปที่หลี่เฉิน
“ซานเป่า”
หลี่เฉินเรียกเบาๆ
ขันทีซานเป่ารีบคุกเข่าข้างหลี่เฉิน รอฟังคำสั่งลงมา
“ในสำนักขันทีฝ่ายตรวจฎีกา มีใครบ้างที่ไม่ได้เป็นพันธมิตรของเว่ยเสียน และสามารถดำรงตำแหน่งแทนเว่ยเสียนได้?”
ประโยคนี้ ซานเป่าสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ทูลองค์รัชทายาท เรื่องนี้ใหญ่เกินไป บ่าวไม่กล้าอวดดี”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าวางแผนยืมมือข้าเพื่อกำจัดเว่ยเสียนหรอกหรือ? ในเมื่อข้าสังหารขันทีคนนั้นไปแล้ว ใยถึงไม่ฉวยโอกาสรับตำแหน่งเล่า?” หลี่เฉินกล่าวอย่างใจเย็น
ประโยคนี้ ทำให้ซานเป่ารู้สึกหนาวจากภายในสู่แขนขา
เขาหมอบลงกับพื้นในทันที หน้าผากของเขาแตะพื้น ชื่อเสียงอันโหดเหี้ยม ในฐานะกวางกงของหน่วยงานบูรพาซึ่งแพร่กระจายในหมู่ขุนนางบุ๋นบู๊ และทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัวและเกลียดชัง เวลานี้ เขาตกต่ำราวกับหมาแก่
“องค์รัชทายาท บ่าวมิกล้า...”
“เอาล่ะ ข้าคร้านจะคุยกับเจ้า จำไว้ว่า ข้าชอบแค่สุนัขที่ซื่อสัตย์และมีประโยชน์เท่านั้น ไม่เช่นนั้น ชะตากรรมของเว่ยเสียนอาจจะตกเป็นของเจ้า”
“เหตุผลที่ขุนนางบุ๋นบู๊กลัวเจ้า นั่นก็เพราะฮ่องเต้มอบอำนาจให้เจ้า เจ้าเป็นขันทีและจะเป็นขันทีตลอดไป อำนาจของเจ้ามาจากราชวงศ์ ฮ่องเต้ได้มอบอำนาจการปกครองประเทศให้แก่ข้า เช่นนั้นข้าก็มีอำนาจกุมชะตากรรมของเจ้าไว้ ดูแลตัวเองให้ดี”
“ส่งรายชื่อบุคคลที่ยังว่างและเหมาะแก่การเป็นขันทีผู้ถือพู่กันฝ่ายตรวจฎีกามา ข้าจะเลือกคนใหม่ ส่วนพันธมิตรของเว่ยเสียน ก็ให้ไปเหมือนเว่ยเสียนก็แล้วกัน”
หลี่เฉินพูดเสร็จ เขาก็เพิกเฉยต่อเสียงอ้อนวอนและเสียงร้องขอความเมตตาที่ก้องกังวานตรงหน้าประตูสำนักขันทีฝ่ายตรวจฎีกา จากนั้นก็หันไปมองหลี่เสวียนที่ยืนตัวสั่นที่หน้าประตู
“เจ้าเข้ามา”
เมื่อหลี่เสวียนได้ยินหลี่เฉินเรียก เขาก็ก้าวมาตรงหน้าหลี่เฉินอย่างระมัดระวัง
ก่อนที่เขาจะได้พูด หลี่เฉินก็ยกมือตบหน้าหลี่เสวียน
เพี๊ยะ
เสียงตบดังชัดเจนมาก ทำให้ใบหน้าขาวซีดของหลี่เสวียนพลันแดงก่ำขึ้นมา และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
การตบครั้งนี้ ยังระงับเสียงร้องและขอความเมตตาจากพวกขันทีอีกด้วย
หลี่เสวียนถูกตบจนเซ่อ
เขาคิดไม่ถึงว่าหลี่เฉินจะกล้าลงมือกับเขา
“เจ้าและข้าเป็นพี่น้องต่างมารดา ข้าไม่ต้องการฆ่าคนในสายเลือดเดียวกัน แต่มีบางสิ่งที่ไม่ควรเป็นของเจ้า ดังนั้นอย่าแตะต้องมัน และข้าสัญญาว่าชีวิตครึ่งหลังของเจ้าจะมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าเจ้ามีใจคิดเป็นอย่างอื่น ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างอนาถ”
ครอบครัวราชวงศ์เป็นครอบครัวที่โหดเหี้ยมที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ
ต่อหน้าราชบัลลังก์ ไม่ต้องพูดถึงพี่น้องต่างมารดาเลย แม้แต่พ่อลูกทางสายเลือดก็ยังหันมาทะเลาะกันเองด้วยซ้ำ
หลี่เฉินทะลุมิติมา เขารู้ดีว่า ตัวเองทำได้เพียงปีนขึ้นไปบนเก้าอี้มังกรเท่านั้น และไม่มีใครจะหยุดเขาได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องตาย
ไม่ว่าจะเป็นเพื่ออำนาจสูงสุดในใต้หล้า หรือเพื่อชีวิตน้อยๆ ของเขาเอง หลี่เฉินก็ตัดสินใจว่าใครก็ตามที่กล้าจะโลภในราชบัลลังก์ จะถูกฆ่าอย่างแน่นอน
หลี่เสวียนตัวสั่นเทิ้ม
ความเจ็บปวดบนใบหน้ายังรู้สึก แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การจ้องมองที่เย็นชาของหลี่เฉินที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวถึงกระดูก
ในขณะเดียวกัน ความอัปยศและความโกรธในกระดูก ก็ทำให้หลี่เสวียนตาแดงก่ำขึ้นมา
หลี่เฉินแสดงสีหน้าเย็นชา เขายังหวังว่าหลี่เสวียนจะพุ่งเข้ามาโจมตีเขาตอนนี้ บวกกับหลี่เสวียนได้อ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการ แค่นั้นก็ทำให้หลี่เสวียนโดนโทษประหารแล้ว ถึงตอนนั้น แม้แต่ฮองเฮากับจ้าวเสวียนจีก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้
ตอนนี้เอง สาวใช้ในวังคนหนึ่งและกลุ่มองค์รักษ์ก็รีบเดินเข้ามา
“คารวะองค์รัชทายาท คารวะองค์ชายเก้า บ่าวชื่อหลี่ชุ่ยเออร์เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮา ฮองเฮาทรงมีรับสั่งเชิญองค์รัชทายาทและองค์ชายเก้าไปเข้าเฝ้าที่พระราชวังหงส์สราญ”
เมื่อพระราชดำรัสของฮองเฮามาถึง แผนการของหลี่เฉินก็ล้มเหลว
ในขณะนั้นหลี่เสวียนก็ค่อยๆ ได้สติกลับมาบ้างแล้ว
จ้าวชิงหลานโกรธมากจนหายใจแรง และพูดว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นองค์รัชทายาท แล้วข้าจะสั่งสอนเจ้าไม่ได้หรือ ข้ายังเป็นฮองเฮาอยู่นะ!”
“ใช่แล้ว ท่านเป็นฮองเฮา เป็นมารดาแผ่นดิน แต่วังหลังห้ามเข้าไปยุ่งกับกิจการของรัฐ ข้าไม่เพียงแต่เป็นองค์รัชทายาท แต่ยังได้รับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อให้เป็นผู้ดูแลประเทศ องค์ชายเก้าอ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเสด็จพ่อ ฮองเฮาไม่รู้หรือว่านี่เป็นโทษที่ร้ายแรงเพียงใด? แม้ข้าจะสังหารเขา แล้วใครจะกล้าว่าข้า?”
จ้าวชิงหลานกัดฟันแน่น นางแทบรอไม่ไหวที่จะปลดหลี่เฉินลงจากตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่นางก็รู้ว่า นางไม่มีอำนาจนั้น
ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งโกรธเคืองมากขึ้นเท่านั้น นางหายใจเข้าลึกๆ แทบจะระงับความโกรธในใจไว้ไม่ได้เลย จากนั้นก็หันไปหาหลี่เสวียนแล้วพูดว่า “เจ้าไปที่ห้องโถงข้างๆ ก่อน แล้วทบทวนบทเรียนของวันนี้ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับองค์รัชทายาท”
หลี่เสวียนเหลือบมองหลี่เฉินอย่างหวาดกลัว จากนั้นก็คุกเข่าคารวะตามธรรมเนียม แล้วถอยออกไป
รอจนหลี่เสวียนเดินออกไปแล้ว จ้าวชิงหลานจึงหันมาพูดกับหลี่เฉินว่า “เสด็จพ่อของเจ้าหมดสติ และไม่สามารถจัดการกิจการของรัฐได้อีกต่อไป ข้าจึงขอให้องค์ชายเก้าอ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการบางส่วน เพราะต้องการให้เขาแบ่งเบาภาระงานราชการบางส่วนของเจ้ากับเสด็จพ่อ”
“อืม ข้าเชื่อ”
ทัศนคติของหลี่เฉิน กระตุ้นความโกรธของจ้าวชิงหลานอีกครั้ง
แต่ก่อนที่นางจะพูดต่อ หลี่เฉินก็โบกมือ และพูดกับสาวใช้ที่อยู่รอบตัวว่า “พวกเจ้าถอยไปซะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับฮองเฮาตามลำพัง”
สาวใช้ในวังหงส์สราญล้วนเป็นคนสนิทของจ้าวชิงหลาน พวกนางทั้งหมดมองไปที่จ้าวชิงหลานโดยไม่พูดอะไร
จ้าวชิงหลานขมวดคิ้ว ร้องหึออกมาเบาๆ คิดว่าหลี่เฉินคงไม่กล้าทำอะไรเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของหลี่เสวียนก็ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ หากคนนอกได้ยินเข้า ไม่ว่าเจตนาดีหรือไม่ก็ยังดูแย่อยู่ดี ดังนั้นนางจึงโบกมือแล้วพูดว่า “ออกไป”
รอจนสาวใช้ออกไปทุกคนแล้ว เหลือเพียงจ้าวชิงหลานและหลี่เฉินในห้องโถงใหญ่ของวังหงส์สราญ จ้าวชิงหลานจึง กล่าวว่า “ว่ามา เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้า”
หลี่เฉินไม่พูด แต่เดินไปหาจ้าวชิงหลาน
จ้าวชิงหลานตกตะลึงเล็กน้อย รอจนหลี่เฉินเดินมาถึงตรงหน้า นางก็เพิ่งตระหนักได้ว่า คนผู้นี้กล้าหาญชาญชัยเพียงใด
“กล้าดี เจ้า..."
จ้าวชิงหลานต้องการจะใช้คำพูดหยุดหลี่เฉิน แต่หลี่เฉินมีหรือจะฟัง
นางพูดได้เพียงสามคำเท่านั้น หลี่เฉินก็นั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ข้างๆ จ้าวชิงหลาน แล้วยกมือขึ้นมาเพื่อคว้ามือที่เยือกเย็นและนุ่มนวลของจ้าวชิงหลาน
จ้าวชิงหลานตกตะลึง นางดึงมือของนางออกตามสัญชาตญาณ ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
แต่หลังจากออกแรงดึงจนสุดแรงแล้ว ก็ไม่อาจดึงออกมาได้
หลี่เฉินจับมือเล็กๆ ของจ้าวชิงหลาน จับปอยผมของจ้าวชิงหลานเข้ามาใกล้อย่างอุกอาจ จากนั้นก็พูดกระซิบว่า “ฮองเฮา อย่าโมโหอีกเลยนะ ไม่ว่าเจ้าจะงดงามเพียงใด แต่ถ้าโกรธทุกวันเช่นนี้ คงหลีกเลี่ยงริ้วรอยไม่ได้”
จ้าวชิงหลานทั้งโมโหทั้งอับอาย นางอยากจะตะคอกด่า แต่ก็กลัวว่าจะทำให้คนที่อยู่ห้องข้างๆ ตกใจ
“เจ้า รีบปล่อยมือของข้าซะ!” จ้าวชิงหลานพูดอย่างร้อนใจ
หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และแทนที่จะถอยกลับไป เขากลับกอดเอวของจ้าวชิงหลานให้ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เมื่อสัมผัสได้ถึงรูปร่างอันงดงามของฮองเฮา หลี่เฉินจึงพูดว่า “เจ้างดงามเพียงนี้ ข้าจะทำใจปล่อยได้เยี่ยงไร?”
จ้าวชิงหลานต้องการลุกหนี แต่กลับถูกหลี่เฉินกอดแน่นจนขยับตัวไม่ได้
“หลี่เสวียนอยู่ในห้องโถงด้านข้าง ส่วนนอกวังมีคนนับไม่ถ้วนรออยู่ เจ้าอยากให้ทุกคนเห็นฉากนี้ไหม” หลี่เฉินยิ้มน้อยๆ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์