ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 379

ปลิง ปลิงเต็มไปหมด

ปลิงตัวสีดำ แต่ละตัวอ้วนถ้วนสมบูรณ์ ปลิงที่มีแต่เนื้อ

นี่เป็นจุดอ่อนของโหลชี และคิดว่าน่าจะเป็นจุดอ่อนของผู้หญิงทุกคน

พื้นที่ว่างเปล่าประมาณสิบตารางเมตร ทั่วทั้งสี่ด้านมีน้ำนองอยู่ กำแพงหินทั้งสี่ด้านมีน้ำซึมออกมา เปียกชื้นไปหมด ข้างบนยังมีตะไคร้น้ำสีเขียวดำเกาะอยู่เต็มไปหมด น้ำเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นน้ำสกปรก น้ำขัง ลักษณะเหนียวข้น มีกลิ่นเหม็นฟุ้งออกมา พื้นดินด้านล่างต่ำเล็กน้อย เหมือนบ่อน้ำเล็กๆบ่อหนึ่ง น้ำค่อยๆไหลไปรวมกันในบ่อน้ำแห่งนั้น เหนียวข้นเป็นสีดำอมเขียว ข้างบนยังมีฟองน้ำที่สกปรกมาก พวกปลิงต่างก็คลานไปมาอยู่ในบ่อน้ำแห่งนี้ ยังมียุงที่บินว่อนเต็มไปหมด

มีปลิงอยู่เต็มบ่อน้ำไปหมด กำแพงหินทั้งสี่ด้านก็คงจะมีเหมือนกัน เพียงแต่มีแสงสว่างไม่พอบวกกับมีตะไคร้น้ำสีดำเขียวเกาะอยู่จึงทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน

สถานที่เช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้

โหลชีอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

"ข้าว่าวิธีการลืมตาของข้าผิดไปใช่หรือไม่"นางหันไปทางเฮ่อเหลียนเจี๋ย"เมื่อเปลี่ยนเข้าสู่การผจญภัยพอโผล่มาก็น่าจะได้เห็น โอ้โห ต้นไม้ใบหญ้าที่แปลกประหลาด โอ้โห น้ำตกที่ราวกับแดนสวรรค์ โอ้โห ผลไม้เลิศรสและน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นี่นา "

นางโอ้โหติดๆกันสามครั้งจนทำให้เฮ่อเหลียนเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากขึ้นมาอีกครั้ง

เห็นท่าทีของนางสดใสอย่างน่าประหลาด "ถ้ายังไม่ครบ จะมีเสือสิงห์กระทิงแรดอะไรโผล่มาก็ได้ หรือยังไม่พอ งูยักษ์ข้าก็ยอมรับได้......"

"เจ้ารู้สึกว่าเจอกับงูหลามยักษ์ที่มีพลังโจมตีสูงยังดีกว่าเจอเจ้าพวกนี้หรือ"เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจความคิดของหญิงสาวคนนี้นัก ปลิงเหล่านี้ไม่ได้มีพลังโจมตีหรือทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต งูหลามยักษ์ยังน่ากลัวยิ่งกว่า

โหลชีอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าหงึกๆ

แม้ว่างูหลามยักษ์ก็น่าสะอิดสะเอียนมาก แต่ก็ดีกว่าเจ้าตัวน่าคลื่นไส้มากมายเหล่านี้อยู่บ้าง

"แม่นางโหลชีตอนนี้ไม่รู้สึกปวดท้องแล้วหรือ "เฮ่อเหลียนเจี๋ยสำรวจนางแวบหนึ่งโดยที่นางไม่รู้ตัว ยังคงสงสัยในข้อนี้มาก

โหลชีโบกมือไปมา "ใครว่าไม่เจ็บ ท่านจะลองปวดดูบ้างไหมเล่า"

"ถ้าเช่นนั้นแม่นางโหลช่างอดทนได้เก่งจริงๆ"

โหลชีพูดว่า "ใช่แล้ว ข้าเคยฝึกวิชาอดทนมาก่อน"

"วิชาอดทน วิชาที่สามารถอดทนต่อความเจ็บหรือ"

เห็นเขามีท่าทีจริงจังมาก โหลชีก็ได้แต่กลั้นยิ้มเอาไว้ ได้แต่พยักหน้า นับได้ว่าเคยฝึก เมื่อก่อนตอนแช่ยานั่นก็นับว่าได้ผ่านการฝึกมาแล้ว ฤทธิ์ยาร้อยแปดแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ความรู้สึกเช่นนั้นใช่ว่านางจะไม่เคยสัมผัสมาก่อน

"ออกไปก่อนค่อยว่ากัน แม่นางโหลเคยบอกมิใช่หรือ ถ้าจะตายก็ต้องไปตายข้างนอก" เฮ่อเหลียนเจี๋ยพูดแล้วก็เดินตรงไปที่บ่อน้ำแห่งนั้น ตรงกลางบ่อน้ำมีทางเล็กๆที่รองรับคนเดินข้ามได้แค่คนเดียวเท่านั้น ไม่มีน้ำ ไม่ลื่น แต่ก็มีปลิงคลานเต็มไปหมด

"ท่านออกไปหาทางออกก่อน หาเจอแล้วข้าค่อยตามไป"โหลชียังคงถอยไปทางด้านหลัง อาจเป็นเพราะว่าทางเดินค่อนข้างแห้งผาก ฉะนั้นปลิงพวกนั้นจึงไม่คลานมาตรงนี้

ทางด้านนั้นไม่มีทางออก มองขึ้นไป ก็มีแต่ความมืดมิด ไม่เห็นแสงใดๆเลย มีเพียงปลายสุดของทางเล็กๆเส้นนั้น พื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่นับว่าราบเรียบนัก ข้างๆมีก้อนหินก้อนใหญ่นูนออกมาจากกำแพงหิน มองด้วยตาเปล่าเช่นนี้ก็สามารถเห็นได้ว่ามีปลิงตัวใหญ่เท่านิ้วมือเกาะอยู่ด้านบนเต็มไปหมด

ไปถึงตรงนั้นแล้วไหนเลยจะยังมีพื้นที่ให้วางเท้าเพื่อให้หลบพวกมันพ้นได้ ฉะนั้นโหลชีคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่อยากจะไปทางด้านนั้นในตอนนี้ ในเมื่อมีคนให้พึ่งพาก็พึ่งไปก่อนแล้วกัน

ในเวลาเช่นนี้นางไม่มีทางไปคิดถึงเรื่องที่ว่าเป็นคนกันเองเป็นคนแปลกหน้าหรือเป็นศัตรู นางยินดีที่จะประฝีมือกับผู้มีฝีมือสูงส่งคนนี้ แต่ก็ยินดีที่จะไปเข้าใกล้ปลิงเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด

ตอนนี้เอง นางก็ได้ยินเสียงที่สงบของเฮ่อเหลียนเจี๋ยพูดขึ้นว่า "ถ้าหากแม่นางโหลไม่มา ถ้าหากประเดี๋ยวข้าไปเจอเข้ากับค่ายกลทำให้ต้องออกไปก่อนอย่างไม่ตั้งใจ ก็จะเหลือแค่แม่นางโหลอยู่ที่นี่คนเดียว อีกทั้งเจ้าก็ไม่มีอะไรที่ส่องสว่างได้"

"ไม่ต้องพูดแล้วไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะไปพร้อมกับท่าน ไปด้วยกัน "โหลชีร้องบอก แล้วตามไปทันที เดิมทีคิดว่าอาการปวดท้องบรรเทาลงไปบ้างแล้ว พอเดินมาอยู่ท่ามกลางฝูงปลิงเหล่านี้ นางก็รู้สึกปวดมากอย่างน่าประหลาดใจ ไม่สามารถยืดหลังให้ตรงได้ ได้แต่เดินหลังโก่งเหมือนหญิงชราเท่านั้น

อาการรังเกียจคลื่นไส้นั้นไร้ทางจะรักษาได้

ดีที่ปลิงพวกนี้ไม่มีนิสัยชอบจู่โจม ขอเพียงไม่ไปแตะต้องพวกมัน ก็สามารถเดินผ่านไปอย่างปลอดภัย โหลชียังคงคิดอย่างน่าสะอิดสะเอียนว่า ถ้าหากปลิงเหล่านี้เกิดผิดปกติขึ้นมา สามารถบินขึ้นมาเกาะบนตัวนางได้เอง ถ้าอย่างนั้นคงน่ากลัวมาก

แต่พอนางเหลือบตาขึ้นมอง ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าสะบัดแขนเสื้อข้างตัวที่ขาวสะอาดอย่างพลิ้วไหว ท่าทางสง่างาม คิดไม่ถึงว่ามาอยู่ในสถานที่เช่นนี้แล้วยังสามารถทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกแสงจันทร์เย็นเยือกสาดส่องมา

ในที่สุดก็ผ่านบ่อน้ำที่มีปลิงไปได้ เท้าเหยียบไปบนก้อนหิน แม้ว่าจะมีปลิงเกาะอยู่ แต่ว่ามีจำนวนน้อยลงมากแล้ว

โหลชีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เห็นว่าเฮ่อเหลียนเจี๋ยเอากระบี่เล่มเล็กมากออกมาจากบริเวณเอวเล่มหนึ่ง กระบี่นั้นเล็กมากและประณีตมาก ยาวเพียงห้านิ้ว บางมาก อ่อนมาก ตอนที่ชักออกมาตัวกระบี่สั่นไหวชั่วครู่ แต่กลับมีเสียงกังวานของกระบี่ดังขึ้นครู่หนึ่ง

กระบี่เล่มนี้ก็คงไม่ใช่ของธรรมดา

ทำให้โหลชียิ่งอยากรู้ตัวตนของเฮ่อเหลียนเจี๋ยมากขึ้นไปอีก ถ้าหากเขาเป็นคนจากทางนั้น ถ้าอย่างนั้นคงจะรู้เรื่องราชตระกูลเฉินกับราชตระกูลซวนหยวนใช่หรือไม่

แต่ถึงแม้เขาจะรู้ โหลชีก็ไม่กล้าจะถามส่งเดช ใครจะไปรู้ว่าอาจจะเป็นศัตรูกับสองราชตระกูลนี้ก็ได้ อีกอย่าง คนที่อยู่ในแผ่นดินนี้ไม่น่าจะรู้เรื่องของคนทางนั้น ถ้าหากนางถามออกไปส่งเดช อีกฝ่ายต้องสงสัยในสถานะของนางอย่างแน่นอน

"เฮ่อเหลียนเจี๋ย กระบี่นี้มีชื่อหรือไม่"

"กระบี่อาวรณ์รัก" เฮ่อเหลียนเจี๋ยมองดูกระบี่เล่มเล็กอันประณีตที่อยู่ในฝ่ามือ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางนาง สายตามีแววซับซ้อนอยู่บ้าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ