จากนั้นธีร์ก็ฉวยโอกาสนี้เอ่ยเรียกชื่อนับหนึ่งเบาๆพร้อมกับสบตาเธออย่างมีอะไรในใจ
" นับหนึ่ง.... "
" คะ "
นับหนึ่งเลิกคิ้วขึ้น มองหน้าธีร์อย่างรอคำถามของเขา เพราะดูจากแววตาเขาแล้วเธอรู้ว่าเขามีคำถามในใจที่อยากจะถามเธออยู่
" อืม....คุณไว้ใจผมมั้ย "
เธอพยักหน้าให้เขาแล้วเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มๆ
" ค่ะ ฉันไว้ใจแล้วก็เชื่อใจคุณมากด้วยค่ะ "
ได้ยินดังนั้นธีร์ก็เม้มริมฝีปากยิ้มพร้อมกับผงกหัวเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป
" งั้น....คุณบอกผมได้มั้ย ว่า คุณกับอิงฟ้ารู้จักกันได้ยังไง "
นับหนึ่งหลุบตามองต่ำลงแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยตอบเขาไปว่า
" เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันค่ะ "
" งั้นเหรอ แต่เท่าที่ฟังคุณพูดถึงเธอเมื่อกี้แล้ว มันเหมือนคุณจะรู้จักเธอดีมากเลยนะ
หรือคุณไม่ไว้ใจ ที่จะพูดเรื่องส่วนตัวกับผม ถ้าเช่นนั้น...ก็ไม่เป็นไร "
แม้ไม่อยากบังคับเธอ แต่เขาก็พูดในทำนองที่ทำให้เธอลำบากใจ
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็อยากจะรู้จากปากเธอ ว่าแท้จริงแล้วเธอกับอิงฟ้าเกี่ยวข้องกันยังไงกันแน่
นับหนึ่งใช้เวลาคิดและตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างนิ่งๆ
" ค่ะ ฉันจะเล่าเรื่องของฉันให้คุณฟัง แต่คุณต้องรับปากฉันก่อนนะคะ ว่าจะไม่ไล่ฉันออก จะไม่รังเกียจ ที่ประวัติฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ "
ธีร์พยักหน้าแล้วเอ่ยตอบเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง
" อือ ผมรับปาก "
สิ่งที่นับหนึ่งกลัวที่สุดคือการถูกคนไม่ยอมรับ และรังเกียจที่เธอเสียความบริสุทธิ์ไปตั้งแต่อายุยังน้อย
โดยการถูกขายให้กับชายป่าเถื่อนในขณะที่เธอไม่มีความยินยอมหรือเต็มใจเลย
เพราะขนาดตัวเธอเอง ยังรังเกียจร่างกายที่มีมลทินนี้ รู้สึกเคียดแค้นคนที่ขืนใจเธอในคืนนั้น จนอยากจะลงมือฆ่าเขาทิ้ง
แค้นนี้ เธอต้องได้ชำระกับอิงฟ้า เธอจะทำให้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกได้รับกรรมในสักวัน
ยิ่งได้ยินเธอพูดแบบนั้น ธีร์ก็ยิ่งอยากรู้ว่าทำไมนับหนึ่งถึงปิดบังเรื่องราวในอดีตของตัวเองมาตลอด
เขาอยากรู้ว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ กันแน่ เลยเอาแต่จ้องหน้า รอฟังเธอเล่าอย่างตั้งใจ
นับหนึ่งถอนหายใจออกมายาวๆแล้วเอ่ยขึ้น
" จริงๆแล้ว ฉันกับอิงฟ้าเรามีพ่อคนเดียวกันค่ะ เธออายุมากกว่าฉัน
ส่วนแม่ของฉันเสียไปตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็ก หลังจากแม่เสียได้ไม่นาน พ่อก็พาอิงฟ้ากับแม่ของเธอเข้ามาอยู่ในบ้าน
อยู่ได้ไม่นาน พวกเขาก็กดขี่ข่มเหง กลั่นแกล้งฉันสารพัด ขังฉันไว้ในห้องโดยให้อดข้าวอดน้ำเป็นเวลาหลายวัน
ตั้งแต่ฉันอายุ 6 ขวบ ไปจนถึงอายุ 18 ปี พวกเขาให้ฉันกินแค่ข้าวกับผักผัด
แล้ว....แล้วตอนที่ฉันเรียนใกล้จบมัธยมปลาย พวกเขาก็รวมหัวกัน
ส่งฉันไปขายตัวให้กับชายสวมหน้ากาก เพื่อแลกกับการได้เลื่อนตำแหน่งของพ่อ
นับแต่นั้นมา ฉันก็ตัดขาดกับคนที่เป็นพ่อ ชาตินี้จะไม่เรียกเขาว่าพ่อและจะไม่ขอรู้จักเขาอีก
ในตอนที่ฉันได้รับความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิต ฉันร้องให้แทบจะเสียสติ
และถือว่าได้ชดใช้บุญคุณที่เขาเคยชุบเลี้ยง เคยให้ชีวิตมาหมดแล้ว และถือว่าหมดเวรหมดกรรมต่อเขา
หลังจากนั้นพอฉันเรียนจบมัธยมปลาย ฉันก็ออกมาจากขุมนรกนั่น แล้วออกมาอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ในเมืองนี้
อยู่อย่างอดมื้อกินมื้อไปวันๆ จนได้มาทำงานกับคุณชีวิตจึงค่อยๆเริ่มดีขึ้น
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเวรกรรมของฉันเยอะเกินไปหรือเปล่า ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอเจ้ากรรมนายเวรอย่างอิงฟ้ากับชายสวมหน้ากากนั่น
โชคดีที่ได้คุณกับพี่มีมี่ช่วยไว้ เลยไม่ถูกลากตัวกลับไปเป็นทาสกามของชายสวมหน้ากากอีก
การตกเป็นทาสกามของชายสวมหน้ากากนั้น เป็นเป็นฝันร้ายที่ฝังใจฉันมาจนถึงทุกวันนี้เลย
แรกๆฉันเครียดจนเกือบจะเสียสติ ในหัวคิดแต่อยากจะฆ่าคน ดีที่ตัวเองยังพอมีสติอยู่บ้าง
เลยพยายามลืมและปล่อยวางไป ให้มันกลายเป็นเพียงฝันร้ายในอดีตที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้นค่ะ "
พอนึกถึงเรื่องเลวร้ายในอดีต สีหน้าและแววตาของนับหนึ่งก็เข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ธีร์รู้สึกสงสารนับหนึ่งมาก เลยยื่นมือออกมากุมมือเธอที่วางบนโต๊ะเบาๆอย่างทะนุถนอม แล้วเอ่ยปลอบอย่างเห็นใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
" ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัวแล้ว หลังจากนี้ไป ผมจะไม่ให้ใครมารังแกคุณได้อีก ผมสัญญา ว่าจะดูแลและปกป้องคุณให้ดีที่สุด
ส่วนเรื่องพวกนั้นมันเป็นแค่ฝันร้ายในอดีต คุณลืมมันไปน่ะดีแล้ว แล้วเรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่กัน โอเคมั้ย "
น้ำเสียงและถ้อยคำของเขาเป็นดั่งน้ำเย็นที่ค่อยๆพรมลงบนหัวใจดวงน้อยที่กำลังคุกรุ่นอัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้น ให้สงบลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ริษยาร้ายซ่อนรัก