ในขณะที่เย่เชียนยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นจินตนาการทั้งหมดในใจของเขาในตอนนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และพลังทลายลงอย่างย่อยยับ เย่เชียนยืนแข็งทื่ออยู่ที่นั่นและเท้าของเขาก็หนักมากราวกับว่ามันเต็มไปด้วยตะกั่วจนไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่หลินโรวโร่วเห็นหน้าเย่เชียนรอยยิ้มและดวงตาของหลินโรวโร่วก็เบิกกว้างขึ้นและสายตาของเธอก็จดจ่ออยู่กับเย่เชียน เวลาผ่านพ้นไปนานมากแต่ทั้งสองก็ไม่ขยับกันเลยเพราะเมื่อทั้งสองได้พบหน้ากันแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะก้าวเดินได้เพราะความตื่นเต้นและทำอะไรไม่ถูก แต่ทว่าสิ่งที่เกินความคาดหมายของเย่เชียนก็คือชายคนหนึ่งที่มาปรากฏตัวอยู่ๆ ข้างๆ ของหลินโรวโร่วเช่นนี้จึงทำให้เย่เชียนนั้นอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและความรู้สึกต่างๆ นาๆ ทั้งความเสียใจและความสูญเสียจากเบื้องลึกของจิตใจก็ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างถาโถม กลับกันเพราะหลินโรวโร่วนั้นกำลังรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นหน้าคนที่เธอเฝ้าคิดถึงเสมอมา
ในที่สุดรอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินโรวโร่วและน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาโดยไม่คาดคิดและเธอก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้วเธอจึงรีบปล่อยกระเป๋าเดินทางของเธอและรีบวิ่งเข้าไปหาเย่เชียนอย่างเร่งรีบ
เย่เชียนถึงกับผงะไปชั่วขณะและในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาและแล้วเขาก็เข้าใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเป็นผู้หญิงเหมือนที่เขาเจอเป็นครั้งแรกและผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่เขารัก ซึ่งเธอนั้นยังคงงดงามและเคลื่อนไหวได้ราวกับนางฟ้าที่ลงมาเยือนโลกใบนี้ และเธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีและน่ารักและก็มีหัวใจที่แข็งแกร่ง
เย่เชียนอ้าแขนและสวมกอดหลินโรวโร่วเอาไว้อย่างแน่นและโอบหัวของเธอเอาไว้บนไหล่ของเขา ซึ่งทำให้เย่เชียนนั้นตัวสั่นไปหมดและสะอึกสะอื้นเล็กน้อย ซึ่งมันเป็นเสียงและอาการแห่งความสุขและความอบอุ่นของความรักและหลินโรวโร่วนั้นก็คิดว่าอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ก็ยังคงอบอุ่นเหมือนอย่างเคย
“คิดถึงฉันมั้ย” หลังจากนั้นไม่นานหลินโรวโร่วก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เย่เชียนและถาม
“อืม!” เย่เชียนก็พยักหน้าและจูบหน้าผากของหลินโรวโร่วอย่างอ่อนโยน เพราะนี่คือคำตอบที่ดีที่สุดเพราะไม่มีวิธีใดที่จะแสดงความรู้สึกใดๆ ได้ดีไปกว่านี้แล้ว
หลินโรวโร่วตอบสนองอย่างเขินอาย หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็ปล่อยมือออกจากตัวเธอและใบหน้าของหลินโรวโร่วก็เริ่มแดงระเรื่อและพูดว่า “ฉันคิดว่าคุณจะตื่นเต้นซะอีก..ทำไมคุณถึงนิ่งแบบนี้ล่ะ?” หลินโรวโร่วถามอย่างซุกซน
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และยืนเกาหัวอย่างเชื่องช้าจากนั้นเขาก็ยื่นดอกไม้ในมือออกมาและพูดว่า “สำหรับคุณ!”
หลินโรวโร่วก็สบตากับเย่เชียนและรอยยิ้มที่มีความสุขก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นบนใบหน้าของเธอ และเธอก็คิดในใจว่าอาจจะเป็นเพราะเย่เชียนนั้นเห็นเธอเดินออกมาพร้อมกับหลินยี่เมื่อครู่นี้เขาก็เลยคิดไปต่างๆ นาๆ
ในขณะนี้หลินยี่ก็ลากกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบมาและเดินไปเหลือบมองเย่เชียนขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าและหันไปหาหลินโรวโร่วแล้วพูดว่า “พี่สาว..นี่แฟนของพี่งั้นเหรอ”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปเล็กน้อยแต่ใบหน้าของเขานั้นดูตกตะลึง และเมื่อเห็นเช่นนั้นหลินโรวโร่วก็เหลือบมองไปที่หลินยี่และพูดกับเย่เชียนว่า “เขาคือลูกพี่ลูกน้องของฉัน..หลินยี่” จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับหลินยี่ว่า “เขาคือพี่เขยของนาย..เย่เชียน!”
พี่เขย! เย่เชียนโปรดปรานและชื่นชอบคำๆ นี้อย่างมากและเขาก็หัวเราะจากนั้นก็พูดว่า “อ้อ..ไงน้องชายสวัสดี!” เย่เชียนยิ้มและยื่นมือออกไป
หลินโรวโร่วก็จ้องมองเย่เชียนและพูดว่า “เดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลังนะ”
เย่เชียนก็ยักไหล่ ซึ่งแน่นอนว่าหลินโรวโร่วนั้นต้องจัดการเรื่องที่ครุมเครือเช่นนี้ว่าทำไมเขาถึงได้เข้าใจผิดและแน่นิ่งไป
หลินยี่นั้นไม่ได้แยแสหรือจ้องมองไปที่เย่เชียนเลยแม้แต่น้อย ในมุมมองของเย่เชียนแล้วชายหนุ่มคนนี้หัวดื้อยิ่งกว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยเสียอีก เมื่อหลินยี่ชำเลืองมองไปที่เย่เชียนเล็กน้อยเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่สาว..ถ้างั้นพี่กับแฟนของพี่ก็รีบไปทำอย่างว่ากันเถอะ..ฉันต้องรีบกลับไปที่เมืองหางโจวแล้ว”
“หยาบคาย!” หลินโรวโร่วจ้องเขม็งไปที่หลินยี่ด้วยความโกรธเล็กน้อย อย่างไรก็ตามถึงยังไงเธอก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรลูกพี่ลูกน้องของเธอ เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเธอและพ่อของเธอเองก็ฝากฝังเขาและคอยดูแลเขาเหมือนครอบครัวมาเสมอ ซึ่งตัวตนของหลินยี่และด้วยอำนาจและอิทธิพลของหลินไห่พ่อของเธอนั้นอาจพูดได้ว่าหลินยี่นั้นเป็นเหมือนหายนะของเมืองหางโจวอย่างแท้จริงได้ เพราะเด็กคนนี้มักจะสร้างปัญหาที่น่าปวดหัวให้กับครอบครัวเสมอ แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดปัญหาใหญ่ๆ เลยเพราะเขาแค่มักจะรวมตัวกับเพื่อนฝูงเพื่อดื่มกินและสนุกสนานไปวันๆ เพียงเท่านั้น
เย่เชียนก็ยิ้มเยาะและยื่นมือออกไปตบไหล่ของหลินยี่เบาๆ และพูดว่า “น้องชาย..นายนี่ไม่เบาเลยนะ..ฉันล่ะชอบนายจริงๆ”
คำพูดที่ดูไม่ชัดเจนและคลุมเครือเช่นนี้ทำให้หลินยี่รู้สึกงุนงงเล็กน้อยและก็รู้สึกเจ็บที่ไหล่ของเขาอย่างบอกไม่ถูก แต่เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้จริงจังอะไรเลยเขาจึงปล่อยมือของเขาออกด้วยการลูบเบาๆ หลินยี่ก็หันหน้าไปมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ยังคงเม้มริมฝีปากของเขาด้วยความเย้ยหยัน ซึ่งในความคิดของหลินยี่นั้นศักดิ์ศรีของผู้ชายนั้นสำคัญที่สุดและต่อให้อีกฝ่ายจะทุบตีเขาจนตายก็ตามถึงยังไงแล้วเขาก็จะยิงอีกฝ่ายกลับเช่นกัน
เมื่อเห็นหลินยี่เดินจากไปแล้วเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดกับหลินโรวโร่วเบาๆ ว่า “ป่ะ..กลับบ้านกันเถอะ!” หลินโรวโร่วก็พยักหน้าเบาๆ และปล่อยให้เย่เชียนควงแขนเธอเดินออกไปจากสนามบิน เห็นได้ชัดเลยว่าเธอนั้นไม่ได้คาดหวังว่าหิมะตกหนักเช่นนี้ในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ ซึ่งหลินโรวโร่วนั้นก็รีบวิ่งไปท่ามกลางฝนหิมะที่โปรยปรายเหมือนกับเด็กๆ อย่างมีความสุขและอ้าแขนรับหิมะอย่างซุกซน
เย่เชียนก็เดินเข้าไปหาหลินโรวโร่วและถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วคลุมตัวของหลินโรวโร่วเอาไว้แล้วพูดว่า “ระวังเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”
หลินโรวโร่วพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ “นานแล้วนะที่ฉันได้เห็นหิมะมากมายขนาดนี้..ฉันยังไม่อยากกลับบ้านเลย..เย่เชียนเราไปเดินเล่นกันเถอะ..ฉันอยากไปดูแม่น้ำหวงผู่น่ะ”
“เอาสิ!” เย่เชียนควงแขนหลินโรวโร่วไปขึ้นรถและขับตรงไปที่แม่น้ำหวงผู่
“คุณเหนื่อยมั้ย..การเดินทางไปแอฟริกาใต้ในครั้งนี้คุณได้อะไรบ้าง?” เย่เชียนถามขณะที่เขาขับรถ
“ถ้าฉันไม่ได้เห็นมันด้วยตาตัวเองแล้วฉันก็คงไม่เชื่อหรอกว่ามันยังมีคนยากจนอย่างแท้จริงในโลกใบนี้..พวกเขายังไม่มีแม้แต่อาหารและเสื้อผ้าเลย..แล้วนับประสาอะไรกับการไปหาหมอ” หลินโรวโร่วพูดต่อ “เห้อ..ถ้าโลกใบนี้ไม่มีสงครามมันก็คงจะดีเนอะ”
“ยัยโง่..” เย่เชียนลูบหัวของหลินโรวโร่วเบาๆ และพูดว่า “ที่ใดมีผู้คนที่นั่นก็จะมีสงคราม..และไม่ว่าจะเป็นสงครามที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือสงครามภายในมันก็มีกันทุกที่ทุกหนทุกแห่งทั้งนั้นแหละ..มันคือสิ่งที่มนุษย์เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“ก็ใช่..แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทั้งๆ ที่มีกองทุนบรรเทาความยากไร้และกองทุนนักเรียนและกองทุนการแพทย์มากมายในโลก..แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถเข้าถึงคนยากจนเหล่านั้นได้เลยล่ะ..หรือโครงการและนโยบายเหล่านั้นจะเป็นเพียงแค่เบื้องหน้าเพื่อหน้าตาจากสังคมเท่านั้นน่ะหรอ” หลินโรวโร่วถอนหายใจและพูด


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน