เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดแล้วซือเหวินจื้อก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเขาก็หัวเราะแห้งๆ และพูดว่า “ข่าวลือมันก็เป็นแค่ข่าวลือเพียงเท่านั้นน่ะคุณเย่..คุณเย่อย่าไปจริงจังอะไรกับข่าวเหล่านั้นเลย..ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลของเราฉันสามารถรับประกันได้เลยว่าการลงทุนในไต้หวันของคุณเย่จะไม่เกิดปัญหาใดๆ หรืออุปสรรคใดๆ เลยครับ”
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เย่เชียนไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาคลุกคลีกับเรื่องเหล่านี้มานานแล้วเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตามเพราะถึงยังไงสิ่งที่เย่เชียนต้องการก็คือคำพูดของซื่อเหวินจื้อนั่นเองเพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาของกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าในเขตการปกครองพิเศษไต้หวันแห่งนี้ เพราะด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลนั้นมันก็ง่ายกว่ามากที่จะทำสิ่งต่างๆ
เย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ถ้างั้นผมก็รู้สึกโล่งใจกับคำพูดของท่านนายกเทศมนตรีซื่อครับ..เพราะผมเองก็รู้ดีว่ามันจะต้องมีองค์กรใต้ดินอยู่ทุกที่อยู่แล้ว..เพราะเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของผมก็เคยประสบปัญหาเหล่านี้มาเหมือนกันตอนที่ผมอยู่ต่างประเทศน่ะ..แต่หลังจากที่เกิดปัญหาดังกล่าวแล้วรัฐบาลก็สนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเคร่งครัดจนทุกอย่างก็พัฒนาไปอย่างราบรื่น..เพราะงั้นผมก็เชื่อว่ารัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ของไต้หวันเองก็สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ดี”
ซื่อเหวินจื้อพูดอย่างเร่งรีบว่า “แน่นอนว่ารัฐบาลไทเปของเราจะร่วมมือกับคุณเย่และคอยช่วยเหลือคุณเย่อย่างเต็มที่!”
“งั้นผมต้องขอบคุณท่านนายกเทศมนตรีซื่อล่วงหน้าก่อนเลยก็แล้วกันครับ!” เย่เชียนพูดต่อ “เอาไว้มีโอกาสผมจะไปเยี่ยมท่านนายกเทศมนตรีซื่อเป็นการส่วนตัวนะครับ”
ขณะที่กำลังคุยกันรถก็ได้มาหยุดที่ทางเข้าของโรงแรมสุดหรูและหลังจากที่ทุกคนลงจากรถแล้วซื่อเหวินจื้อก็พาเย่เชียนกับหูวเค่อไปที่ภัตตาคารที่จัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าซึ่งมีชายชราจำนวนหลายคนนั่งพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นเย่เชียนเข้ามาทุกคนก็หยุดคุยกันทันทีแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใดส่วนซื่อเหวินจื้อเองก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ซึ่งเมื่อเห็นฉากแบบนี้เย่เชียนก็สามารถเข้าใจได้นั่นก็เพราะว่าเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลของเขตการปกครองพิเศษไต้หวันที่พวกเขาเตรียมเอาก่อนหน้านี้นั้นก็มีข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับชายชราเหล่านี้และเย่เชียนก็ดูอย่างละเอียดเช่นกัน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกใต้ดินของไต้หวันอย่างมากและแล้วพวกเขาก็ค่อยๆ ทำสิ่งต่างๆ อย่างถูกกฏหมายและกลายเป็นสมาชิกของรัฐบาลอย่างเป็นทางการซึ่งสิ่งนี้นั้นเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างมากของการเมืองเขตการปกครองพิเศษไต้หวัน
ส่วนเหล่าลูกน้องและผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินธุรกิจใต้ดินของตัวเองต่อไปโดยใช้สถานะสมาชิกรัฐสภาเพื่อทำสิ่งต่างๆ บังหน้า แต่พวกเขาก็ยังคงสนับสนุนและเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ผิดกฎหมายในรูปแบบที่ถูกกฎหมายเพราะนี่ก็คือเหตุผลที่องค์กรใต้ดินของไต้หวันต้องการผลักดันให้ผู้มีอำนาจของโลกใต้ดินไปเป็นคนของรัฐบาลอย่างเป็นทางการนั่นเอง จากสถิติที่ไม่แน่นอนมานักประมาณ 30% ของสมาชิกรัฐสภาและคนของรัฐบาลนั้นล้วนมาจากองค์กรใต้ดินกันทั้งนั้น
หากต้องการที่จะโจมตีเหล่าองค์กรใต้ดินแบบตรงๆ นั้นมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเย่เชียนจึงตั้งเป้าหมายทั้งหมดเอาไว้ที่คนจากองค์กรใต้ดินที่ผันตัวมาเป็นสมาชิกรัฐสภาและเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ ขั้นตอนแรกคือการนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้เองแน่นอนว่าปัญหาไม่ได้เล็กและเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขด้วยการบังคับเพียงอย่างเดียว
หลังจากที่นั่งลงกันแล้วซื่อเหวินจื้อก็แนะนำเย่เชียนให้รู้จักกับชายชราทีละคนๆ และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรู้ข้อมูลของพวกเขามาแล้วก็ตามถึงยังไงเย่เชียนก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยและก็จับมือกับพวกเขาทีละคนอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งการที่ซื่อเหวินจื้อเชิญพวกเขาเหล่านี้มาในครั้งนี้นั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเขาต้องการให้เย่เชียนรู้จักและทำความคุ้นเคยกับพวกเขาเหล่านี้เอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความเข้าใจผิดกันในภายหลัง เพราะมันจะเป็นเรื่องยากสำหรับซื่อเหวินจื้อที่เป็นคนกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย
ซึ่งองค์กรที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดของเขตการปกครองพิเศษไต้หวันนั้นคือองค์กรสามมุมเมืองแห่งไทเปและองค์กรซูเหลียนแห่งเมืองไถหนาน ซึ่งทั้งสององค์กรนั้นต่างก็ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานและไม่มีท่าทีที่จะหยุดเลย แต่ทว่าตั้งแต่ที่ผู้นำคนใหม่ขึ้นมาปกครองแล้วระหว่างองค์กรทั้งสองนั้นก็หยุดต่อสู้กันและจับมือเป็นพันธมิตรและร่วมกันเพื่อเข้าสู่รัฐบาล ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ที่นี่ด้วยซึ่งมีเพียงแค่สมาชิกอาวุโสขององค์กรสามมุมเมืองและองค์กรซูเหลียน ส่วนผู้นำของพวกเขานั้นต่างคนก็ต่างปกป้องสถานะของพวกเขาในฐานะผู้นำด้วยเช่นกัน เพราะแน่นอนว่าบุคคลระดับผู้นำเช่นพวกเขานั้นจะไม่มาตามคำเชิญของซื่อเหวินจื้ออย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าในสายตาของพวกเขานั้นซื่อเหวินจื้อก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ามดตัวเล็กๆ ที่สามารถถูกพวกเขาเหยียบจนตายได้เพียงแค่ขยับ
ซึ่งแม้แต่เย่เชียนก็เช่นกันเพราะในมุมมองของพวกเขาเย่เชียนเองก็เป็นเพียงแค่นักธุรกิจตัวเล็กๆ นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นรู้น้อยมากเกี่ยวกับตัวตนของเย่เชียน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็คิดเพียงแค่ว่าถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วมันยังไงล่ะแล้วจะยิ่งใหญ่มาจากไหน? ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ดั่งสำนวนที่ว่าถ้ามังกรที่แข็งแกร่งไม่บดขยี้งูแล้วล่ะก็พวกเขาจะกลัวเย่เชียนได้อย่างไร แต่ทว่าเย่เชียนเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อยเพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้อยู่แล้ว นั่นก็เพราะว่าถ้าองค์กรยักษ์ใหญ่ทั้งสองของไต้หวันหันมาสนใจเขาล่ะก็มันก็จะขัดขวางการพัฒนาเขี้ยวหมาป่าและแม้แต่แผนการต่างๆ ของเขาอย่างแน่นอน
ในด้านของโรงยิมศิลปะการต่อสู้ที่จัดทำโดยเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็นั้นเป็นเพียงเบื้องหน้าของแผนการกวาดล้างโลกใต้ดินของไต้หวันเพียงเท่านั้น ซึ่งนีก็เป็นเพียงการดำเนินการเล็กๆ น้อยๆ ของเย่เชียนซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นั้นมันยังไม่ถึงเวลา
“คุณคือเย่เชียนที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงยิมชมรมศิลปะการต่อสู้ที่เพิ่งจะเป็นประเด็นร้อนแรงในประเทศจีนเมื่อไม่นานมานี้หรือเปล่า..โอ้..คุณยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย..ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นถึงCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ป!” โจวหลินซุนพูดแล้วยิ้ม ถึงแม้ว่าเขาจะพูดชมเชยเย่เชียนแค่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีความจริงใจใดๆ เลย
โจวหลินซุนผู้นี้ตามข้อมูลของหน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่าที่ส่งมาให้เย่เชียนนั้นเขาก็ได้ข้อมูลมาว่าโจวหลินซุนคนนี้เป็นผู้อาวุโสขององค์กรสามมุมเมืองแห่งไทเปและตอนนี้เขาก็เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองของไทเป
เย่เชียนก็หัวเราะอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ผู้คนน่ะถูกแบ่งออกสิบแบบสิบชนชั้น..หนึ่งคนธรรมดาสามัญ..สองเจ้าหน้าที่รัฐ..สามพระ..สี่มหาเศรษฐี..ห้าหมอ..หกแรงงานก่อสร้าง..เจ็ดช่างฝีมือ..แปดโสเภณี..เก้านักปราชญ์และสิบขอทาน..ซึ่งคนอย่างพวกเราน่ะอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีห้าแบบที่ผสมกันอยู่ในตัวเอง..เพราะแบบนั้นผมก็ไม่สามารถไปเปรียบเทียบกับหัวหน้าโจวได้หรอกครับ..ผมเองที่ต้องรบกวนหัวหน้าโจวในอนาคตน่ะครับ”
“พูดได้ดีหนิ!” โจวหลินซุนพูด
“คุณเย่แผนการลงทุนของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในครั้งนี้เป็นยังไงหรอครับ..มันไม่ใช่แค่การเปิดสโมสรโรงยิมใช่มั้ย?” ซื่อเหวินจื้อถามอย่างประหม่า
“ไม่แน่นอนครับเพราะนี่เป็นเพียงหนึ่งในโครงการของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของเราเท่านั้น..ซึ่งเราก็ยังมีแผนจะสร้างอุตสาหกรรมโลจิสติกส์การขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียที่ไต้หวันนี้ด้วยครับ..และต่อไปเราก็จะมุ่งส่งออกทรัพยากรและผลิตภัณฑ์ของไต้หวันไปยังทั่วทุกทวีปและทั่วโลก..โดยการนำเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในไต้หวันซึ่งมันจะช่วยเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจของไต้หวันได้เป็นอย่างดี!” เย่เชียนพูดต่อ “พวกเรามีประสบการณ์ในด้านนี้ตอนที่เราอยู่ในประเทศฝรั่งเศสและเราก็พัฒนาและปรับปรุงมาอย่างดี..ซึ่งท้ายที่สุดแล้วพวกเราต่างก็มีรากฐานและบรรพบุรุษในฐานะนักธุรกิจเหมือนกัน..และแน่นอนว่าพวกเขาคงหวังว่าลูกหลานของพวกเขาจะอยู่ดีกินดีตลอดไป”
ถ้าไต้หวันเป็นดั่งหัวใจก็แสดงว่าเศรษฐกิจนั้นคือเส้นเลือดซึ่งต้องคอยควบคุมการไหลเวียนของเลือดเพราะถ้าหากเส้นเลือดเส้นใดเส้นหนึ่งแตกมันก็จะทำให้หัวใจล้มเหลวได้โดยตรง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออุตสาหกรรมโลจิสติกส์หรือการขนส่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการควบคุมเศรษฐกิจของประเทศและมณฑลและเมืองต่างๆ นั่นเอง



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน