ตอนที่ 385 ใครล้อเล่น?
ประวัติภูมิหลังครอบครัวของเฟิงกั๋วฟู่นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นตำนานเพราะตระกูลนี้เกิดมาเพื่อทำธุรกิจและเก่งในเรื่องการเก็งกำไรอย่างยิ่ง เดิมทีเขาเป็นเด็กจากชนบทอันห่างไกลและได้มาศึกษาเล่าเรียนในตัวเมืองจนได้ดีแต่ทว่าเฟิงกั๋วฟู่กลับไม่รู้จักพอเพราะเขามักจะโกงกินและทุจริตต่อองค์กรเสมอมา
ต่อมาหลังจากที่เฟิงกั๋วฟู่สำเร็จการศึกษาในเวลานั้นเขาได้รับมอบหมายให้ทำงานเป็นผู้อำนวยการเวิร์คช็อปในบริษัทแห่งหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยเป็นคนสุจริตและมีจริยธรรมเลยเพราะเขาเริ่มขโมยสิ่งของของบริษัทอยู่เสมอและนำมันไปขายที่อื่นเป็นจำนวนมากเช่นนั้น
ท้ายที่สุดเขาก็ถูกไล่ออกแต่เนื่องจากความสัมพันธ์ของเขากับเถ้าแก่เขาจึงไม่ถูกจับและถูกคุมขัง หลังจากนั้นเขาก็ได้เงินที่ได้มาจากการขโมยสิ่งต่างๆ ขายไปเปิดธุรกิจของตัวเองจนขยายได้หลากหลายสาขา
ในสมัยก่อนที่ไม่ค่อยมีนักลงทุนมากนักจึงทำให้เฟิงกั๋วฟู่กลายเป็นคนกลุ่มแรกในมณฑลกวางตุ้งที่มีเงินทุนอยู่ในมือของเขาและจึงเริ่มไล่ซื้อที่ดินหลายแห่งในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งในตอนนั้นราคาที่ดินก็ไม่สูงสักเท่าไหร่ดังนั้นจึงทำให้ในเวลาเพียงสองปีเขาก็ได้กลายเป็นเศรษฐีไปอย่างรวดเร็ว
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงถือครองที่ดินจำนวนมากอยู่ในมือและที่เขาซื้อมาในตอนนั้นก็แค่ราคาไม่กี่พันหยวนในสมัยก่อน ต้องบอกเลยว่าเฟิงกั๋วฟู่เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์และเขาก็ถือได้ว่าเป็นเหมือนมัจจุราชในตลาดธุรกิจเลยก็ว่าได้
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีส่วนร่วมในการค้าการส่งออกและเริ่มนำอาหารจากบ้านเกิดของเขาไปเผยแพร่สู่ภูมิภาคกวางตุ้งจากนั้นก็ขยายไปยังประเทศจีนทั้งหมดและกล่าวได้ว่าเฟิงกั๋วฟู่นั้นเป็นผู้ประกอบการด้านอาหารที่แท้จริงซึ่งรู้จักกันในชื่อเจ้าสัวเฟิง ซึ่งทรัพย์สินของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกันและถึงแม้ว่าชื่อของเขาจะไม่ได้อยู่ในการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes ก็ตามแต่เขาก็มีทรัพย์สินอยู่อย่างน้อยๆ ประมาณหมื่นล้าน
บุคคลเช่นนี้มักจะภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมาก
แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายที่โชคชะตามูลค่ากว่า 10,000 ล้านของเฟิงกั๋วฟู่นั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เชียนแล้วก็เป็นได้แค่ธุรกิจเล็กๆ เพียงเท่านั้น และไม่ต้องพูดถึงรายได้ของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเลยเพราะแค่รายได้ต่อปีขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าจากการปฏิบัติภารกิจก็ยังมากกว่าหนึ่งพันล้านหยวนแล้วและนอกจากนี้ก็ยังมีเหมืองเพชรในแอฟริกาใต้และเมียนมาร์อีกและแม้แต่อุตสาหกรรมน้ำมันในตะวันออกกลางก็มีเช่นกันและด้วยจำนวนหุ้นที่เขี้ยวหมาป่าถืออยู่นั้นก็มีมูลค่ามากกว่า 2 หมื่นล้านหยวนแล้ว
กฎของสโมสรจิดจรัสนั้นยังไม่ได้รับการปรับปรุงหรือแก้ไข้ตั้งแต่ที่เย่เชียนเข้ามา เพราะไม่เพียงแค่มีเงินเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ห้องVIPได้แต่ต้องมีสถานะที่เหมาะสมอีกด้วย
ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการด้านอาหารอันดับ 1 ของจีนนั้นเฟิงกั๋วฟู่จึงมีสิทธิ์ได้ใช้ห้องส่วนตัวVIPซึ่งเฟิงกั๋วฟู่ก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแปลกประหลาดใดๆ และเขาก็รู้สึกว่าห้องส่วนตัวVIPนั้นเหมาะกับตัวตนของเขาอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อชางกวนสั่งให้ลูกน้องของเขาเปิดห้องส่วนตัวVIPระดับสูงแล้วเฟิงกั๋วฟู่ก็ถึงผงะเล็กน้อยเพราะเขาดูภูมิใจอย่างมากที่ตนอยู่ในชนชั้นสูงและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่สามารถใช้ห้องส่วนตัวVIPระดับสูงได้
ในประเทศจีนนั้นสิ่งที่สำคัญคือไม่ใช่เงินแต่เป็นอำนาจเพราะห้องส่วนตัวVIPระดับสูงนั้นมีสิทธิ์เฉพาะบุคคลระดับสูงสุดและถ้าหากใครสามารถใช้ห้องVIPระดับสูงสุดได้คนคนนั้นก็สามารถอวดอ้างได้อย่างเต็มปากโดยไม่ต้องอายใครเลย อย่างไรก็ตามเฟิงกั๋วฟู่นั้นไม่ได้คาดหวังว่าการที่ได้รับสิทธิ์ใช้ห้องส่วนตัวVIPระดับสูงนั้นจะเป็นเพราะเย่เชียนแต่มันเป็นเพราะเขาอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อมองไปที่เฟิงกั๋วฟู่ที่กำลังภาคภูมิใจในตัวเองแล้วเย่เชียนก็แอบยิ้มอย่างลับๆ เพราะถึงแม้ว่าเฟิงกั๋วฟู่จะมีฟันอันแหลมคมแค่ไหนก็ตามแต่มันก็เป็นได้แค่หมาพันธุ์ปั๊กและไม่มีวันเป็นหมาป่าไปได้
เย่เชียนกับหลินโรวโร่วก็เดินตามเฟิงกั๋วฟู่เข้าไปในห้องส่วนตัวVIPระดับสูงภายใต้การนำของบริกร ซึ่งการตกแต่งภายในนั้นบอกได้เลยว่าเหมือนพระราชวังที่หรูหรามากและแม้แต่พนักงานเสิร์ฟที่รอคอยอยู่ก็คัดสรรมาอย่างดีและระดับความงดงามของพนักงานต้อนรับนั้นไม่น้อยไปกว่าแอร์โฮสเตสบนเครื่องบินเลบเพราะไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาการศึกษาและการสนทนาหรือนิสัยใจคอก็ล้วนยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามอาจเป็นเพราะความจริงที่ว่าภายใต้อิทธิพลของบรรยากาศที่หรูหราเช่นนี้พนักงานเสิร์ฟเหล่านี้จึงมีมารยาทและการแสดงออกแบบชนชั้นสูงเพราะถ้าหากไม่ใช่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะต้อนรับแขกระดับสูงได้เลย เช่นเดียวกันกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ภายใต้รูปลักษณ์ที่งดงามเมื่อถูกถอดออกก็ไม่มีเกียรติและไม่ต่างจากผู้หญิงในผับในบาร์เลย
เฟิงกั๋วฟู่ก็แสดงความมั่งคั่งและความยิ่งใหญ่ของเขาและพยายามเอาชนะเย่เชียนอย่างรุนแรงต่อหน้าหลินโรวโร่วโดยการให้ทิปพนักงานต้อนรับไป 10,000 หยวน หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่เย่เชียนอย่างภาคภูมิใจและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความยั่วยุ แต่ทว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้โง่ถึงขนาดที่ลดตัวไปทำแบบนั้นเพราะต่อให้เย่เชียนจะยื่นเงินให้ก็ตามแต่พนักงานเหล่านั้นก็ไม่กล้ารับอยู่ดี
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเฟิงครับ..ในฐานะตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของคุณที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องส่วนตัวVIPระดับสูงแบบนี้ได้..ผมคิดว่าทิปหนึ่งหมื่นหยวนนั้นอาจจะน้อยเกินไปนะครับ..ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดต่อๆ กันไปคุณจะเสียชื่อได้นะครับ”
“ใช่ค่ะ..ดูเหมือนฉันจะเคยได้ยินมาว่าห้องส่วนVIPระดับสูงนี้มีค่าใช้บริการอย่างน้อยๆ 100,000 หยวนนะคะ” หลินโรวโร่วก็เห็นด้วยเช่นกัน ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเธอต้องการช่วยเย่เชียนตอกกลับชายชราหัวล้านจอมโอ้อวดคนนี้
เฟิงกั๋วฟู่ก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะ นั่นก็เพราะว่าในขณะนี้มีพนักงานสิบคนและหนึ่งคนก็เท่ากับหนึ่งแสนและในเมื่อมีพนักงานจำนวนสิบคนนั่นก็ต้องเท่ากับหนึ่งล้าน! ซึ่งพนักงานเหล่านี้มักจะได้รับค่าจ้างจำนวนมหาศาลในทุกๆ เดือน และสวัสดิการอาหารและการใช้บริการก็ลดลงครึ่งหนึ่งด้วย่นกันและเนื่องจากมีสวัสดิการมากมายจึงทำให้เหล่าพนักงานนั้นไม่รู้สึกอึดอัดใดๆ ในใจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังมีนักเรียนนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จสูงมากมายที่ภูมิใจที่ได้เป็นพนักงานของสโมสรเจิดจรัสแห่งนี้
ถึงแม้ว่าเงินหนึ่งล้านหยวนนั้นจะไม่ใช่เงินที่มากมายสำหรับเฟิงกั๋วฟู่ก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็ทำให้เขาไม่เต็มใจจริงๆ อย่างไรก็ตามเพื่อแสดงจุดยืนให้หลินโรวโร่วได้เห็นนั้นเงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขาเลย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน