ตอนที่ 446 ความรู้สึกของผู้ชายที่ผู้หญิงไม่มีวันเข้าใจ
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ถึงกับตกตะลึงไปกับคำพูดของเย่เชียน ซึ่งเธอก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการกระทำของเย่เชียนเพราะเธอสามารถรับรู้อะไรได้บางอย่างเมื่อเธอเห็นมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเป็นครั้งแรก ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเธอจะไปรู้ได้ที่ไหนว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่าเล่มนี้นั้นเดิมทีมันเป็นของของเย่เชียน
เย่เชียนเองก็ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมีโชคเช่นนี้ในโลกใบนี้หลังจากที่เขาทำสิ่งที่ยากลำบากมานาน ซึ่งเขาก็ไม่คาดคิดว่าเซอร์เก้วิชพุชกินจะเป็นคนนำพามีดคลื่นโลหิตหมาป่ามาสู่ตรงหน้าเขา ซึ่งหลังจากเงียบไปชั่วครู่เย่เชียนก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “ฉีจือ..หรือที่รู้จักกันในชื่อมีดคลื่นโลหิตนั้น..ถูกน้องชายของผมขโมยมาจากพิพิธภัณฑ์ของราชอาณาจักรอังกฤษ..ซึ่งในตอนนี้ก็ถือได้ว่ามันถูกส่งคืนให้เจ้าของเดิมแล้ว..ผมเชื่อว่ามิสเตอร์พุชกินคงจะไม่รังเกียจหรอกใช่ไหม?”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็ถึงกับตกใจเพราะเห็นได้ชัดว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นไม่ได้รับมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเล่มนี้มาจากช่องทางหรือการกระทำปกติเช่นนั้น เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆ ว่าอาจเป็นไปได้ไหมว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และเหล่าทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะทั้งหมดเสียชีวิตไปแล้วด้วยน้ำมือของคนคนนี้หรือไม่? หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเซอร์เก้วิชพุชกินก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้เองหรือ..ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเย่พูดล่ะก็ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ..เอาล่ะเนื่องจากมันเป็นแบบนั้นถ้างั้นมีดเล่มนี้ก็ควรกลับคืนสู่เจ้าของของมัน”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเซอร์เก้วิชพุชกินก็พูดว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณเย่เป็นใคร..ไม่ทราบว่าคุณเย่ช่วยบอกผมหน่อยจะได้ไหม?”
“ผมก็เป็นแค่คนตัวเล็กๆ ..ผมไม่กล้าอวดอ้างอะไรต่อหน้ามิสเตอร์พุชกินหรอกครับ” เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดต่อ “เนื่องจากมิสเตอร์พุชกินเป็นคนใจกว้างผมก็จะไว้หน้าคุณ..ซึ่งครั้งที่แล้วมันเป็นเพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ที่ไม่ยอมส่งคืนของของผมมา..และเขาก็คิดว่าพวกจิ้งจอกหิมะจะจัดการกับผมได้เพราะงั้นผมก็เลยต้องส่งพวกเขาไปเยือนยมโลก”
ถึงแม้ว่าแม่ม่ายดำจือเหวินจะเดาสิ่งต่างๆ ได้แล้วก็ตามแต่ทว่าหลังจากที่เย่เชียนพูดออกมาจากปากของเขาเองเช่นนี้แล้วเธอก็ถึงกับต้องตกตะลึงอยู่ดี เพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นไม่ใช่คนที่จะสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายมิฉะนั้นเธอก็คงจะไม่ต้องรอมาหลายปีเช่นนี้และคงจะฆ่าเขาไปเสียแล้วและยิ่งไปกว่านั้นเหล่าทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ธรรมดาเลย
เซอร์เก้วิชพุชกินก็ตกใจมากกว่าเดิมเพราะเดิมทีเขานั้นคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ถูกวางแผนและดำเนินการโดยแม่ม่ายดำจือเหวินแต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่เธอ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปมันก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันเพราะถ้าหากแม่ม่ายดำจือเหวินมีความสามารถเช่นนั้นเธอก็คงจะไม่ถูกกดดันภายใต้การโจมตีของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เป็นแน่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เขางงงวยก็คือเย่เชียนคนนี้เป็นใครกันแน่ทำไมเขาถึงมีความสามารถเช่นนี้และดูเหมือนว่าเขาจะสิ่งต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่ามันยังมีบุคคลอย่างเย่เชียนในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนแห่งนี้อยู่
เซอร์เก้วิชพุชกินก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยเพราะถ้าหากเขารู้การดำรงอยู่ของเย่เชียนมาก่อนหน้านี้ล่ะก็เขาก็คงจะไม่ต้องไปหาพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นสิ่งต่างๆ มันจะกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่ทว่ามันก็ผ่านมาแล้วและเขาก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาจะมีโอกาสรอดไปได้หรือไม่ ซึ่งท่าทางและการแสดงออกของเย่เชียนก็ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์มากนัก หลังจากที่ตกตะลึงไปชั่วครู่เซอร์เก้วิชพุชกินก็พูดว่า “พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นเขาหาเรื่องใส่ตัวเอง..เพราะผมได้ชักชวนและเสนอทั้งเขาและคุณจือให้อยู่ด้วยกันอย่างสันติแล้ว..แต่ทว่าเขาก็ยืนกรานที่จะใช้วิธีการของเขาเอง..เขาบอกผมว่าเขานั้นมีอำนาจและทรงอิทธิพลที่สุดในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน..และการที่คุณเย่ฆ่าเขาไปนั้นมันก็ถือว่าเป็นการกำจัดมะเร็งออกไป..ผมไม่ทราบว่าคุณเย่สนใจที่จะร่วมมือกับผมหรือไม่?”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “มิสเตอร์พุชกินฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดไปนะคะ..นี่คือในบ้านของฉัน..เพราะงั้นถ้าหากคุณต้องการจะคุยกันเกี่ยวกับการร่วมมือของคุณกับคุณเย่ล่ะก็คุณนัดกันที่อื่นไม่ดีกว่าเหรอ?”
ในความเป็นจริงแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นก็กลัวว่าเย่เชียนจะไปร่วมมือกับเซอร์เก้วิชพุชกินเช่นกันเพราะท้ายที่สุดแล้วเหตุการณ์ต่างๆ ของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ได้เน้นย้ำและเผยให้เห็นถึงความสามารถของเย่เชียนอย่างชัดเจนแล้วและไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่หยุนเหลาพูดอีกว่าตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียนนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าหากเย่เชียนได้ร่วมมือกับเซอร์เก้วิชพุชกินจริงๆ และถ้าหากเซอร์เก้วิชพุชกินต้องการที่ดินของเธอล่ะก็เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ที่ดินผืนนั้นแต่ยังรวมไปถึงสิ่งต่างๆ ที่หยางเทียนทิ้งเอาไว้ให้เธอก็จะไม่สามารถรักษามันเอาไว้ได้เช่นกัน
แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นรู้สึกได้ถึงความหมายของแม่ม่ายดำจือเหวิน ดังนั้นเย่เชียนจึงหันหน้าไปหาเธอและยิ้มให้เธอเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ ซึ่งแน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้คิดที่จะร่วมมือกับเซอร์เก้วิชพุชกินเลยเพราะเย่เชียนตั้งใจที่จะกำจัดเขา แต่ทว่าเนื่องจากเย่เชียนได้รับมีดคลื่นโลหิตหมาป่ากลับมาแล้วดังนั้นเย่เชียนจึงไม่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการใดๆ กับเขาเพราะท้ายที่สุดแล้วเบื้องหลังของเซอร์เก้วิชพุชกินก็ยังมีอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟที่ทรงอิทธิพลซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศรัสเซียและบางทีมันก็ยังมีโอกาสที่ดีสำหรับการร่วมมือกันในอนาคต ซึ่งนอกจากนี้หลังจากการเจรจากับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วเย่เชียนก็รู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกลางจีนและเบื้องบนของจีนที่มีต่อเขา ซึ่งเขานั้นต้องวางแผนล่วงหน้าและเตรียมการอย่างดีที่สุดและวางแผนให้ครอบคลุมและรอบคอบที่สุดเท่าที่จะทำได้
สิ่งนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับความรักหรือความรักที่มีต่อเพื่อนร่วมชาติแต่อย่างใดถ้าหากมีใครต้องการที่จะบุกรุกประเทศจีนล่ะก็เย่เชียนก็จะลุกขึ้นสู้โดยไม่ลังเลใดๆ เพียงแต่ว่าเขานั้นไม่ต้องการเป็นตัวเบี้ยตัวหมากของนักการเมืองเหล่านั้นหรือเป็นเครื่องมือที่พวกเขาหลอกใช้นั่นเอง
เซอร์เก้วิชพุชกินก็ยิ้มอย่างหดหู่และไม่รู้จะพูดอะไรดี ซึ่งอันที่จริงสิ่งที่แม่ม่ายดำจือเหวินพูดออกมานั้นถูกต้องเพราะพวกเขากำลังอยู่ในบ้านของเธอแต่เขากลับกำลังปรึกษาเรื่องการร่วมมือกันระหว่างเขากับเย่เชียนซึ่งดูเหมือนกับว่าไม่ให้เกียรติกันอย่างไงอย่างงั้น
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วมิสเตอร์พุชกินอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ถึงกับเหลือบมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจและแอบคิดว่าเย่เชียนคิดจะทำอะไรกันแน่? เขามาที่นี่เพื่อกินข้าว? ไม่ว่าจะคิดอย่างไรถึงยังไงแม่ม่ายดำจือเหวินก็นึกไม่ออกว่าเย่เชียนนั้นหมายถึงอะไรทำไมเขาถึงทำแบบนี้?
ดูเหมือนเย่เชียนนั้นจะรู้ว่าแม่ม่ายดำจือเหวินต้องการจะสื่อความหมายอะไรเขาจึงหันหน้าไปหาเธอและยิ้มให้เธอจนหัวใจของแม่ม่ายดำจือเหวินสั่นหวั่นไหวทันทีและเธอก็รีบหันหน้าหนีไปด้วยความเขินอายอย่างลับๆ และเธอก็มีความรู้สึกที่ร้อนแรงบนใบหน้าของเธอจนเธอแอบคิดในใจว่า ‘นี่ฉันเป็นอะไรไป..ฉันเป็นอะไรกันแน่’
“ไม่เป็นไรครับ..ที่บริษัทของผมยังมีเรื่องอีกมากมายที่ผมต้องไปจัดการ” เซอร์เก้วิชพุชกินพูดต่อ “ถ้างั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับ..คราวหน้าผมจะเชิญทั้งสองคนผมหวังว่าพวกคุณจะตอบรับ”
เห็นได้ชัดว่าแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดอะไรใดๆ ซึ่งเธอเพียงส่งเสียงเบาๆ และโบกมือลาและหลังจากนั้นลูกน้องของเธอก็พาเซอร์เก้วิชพุชกินออกไป จากนั้นเธอก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “ฉันไม่ทำอาหาร..เราออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันดีกว่าไหม”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน