บทที่ 69 พานพบหวงเสี่ยวเหมย
“ไม่อยากให้พวกข้าตามไปด้วยหรือ?”
เสิ่นม่านอวิ๋นพึมพำ
“เจ้าโง่หรือไร เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดไปเองว่าจะไปสำนักชิงหยางกับกลุ่มขนาดใหญ่ของตระกูลสวี อย่างไรก็ปลอดภัย”
สวี่หยางยิ้มขณะเขี่ยจมูกของเสิ่นม่านอวิ๋นอย่างเอ็นดู
“ข้ารู้ ข้าแค่ไม่อยากปล่อยสหายเต๋าสวี่ไปน่ะ”
สวี่หยางฉวยโอกาสวางนางบนโต๊ะ “ข้าไปแค่ไม่กี่วัน เจ้าต้องดูแลบ้านให้ดี กลับมาเมื่อไหร่เดี๋ยวมีของขวัญให้!”
สิ้นคำ เขาก็ส่งเสิ่นม่านอวิ๋นขึ้นสวรรค์อีกครั้ง
ไม่ช้า เสียงร้องสั่นเครือของเสิ่นม่านอวิ๋นก็ดังลั่นลานบ้าน
……
โลกเซียนในแดนเหนืออันกว้างใหญ่ประกอบด้วยสามกองกำลังสูงสุด
สำนักชิงหยาง สำนักฮ่าวชี่ชุนหยางและตระกูลถังแห่งผู้บำเพ็ญเซียน
สามกองกำลังสูงสุดล้วนมีบรรพชนขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิด ไม่ว่าใครก็สามารถกวาดล้างโลกเซียนในแดนเหนือได้
นอกเหนือจากสามกองกำลังสูงสุด โดยตระกูลสวีซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดมีผู้อยู่ขอบเขตจินตานเพียงสองคนเท่านั้น
โชคยังดีที่ในบริเวณตระกูลสวีอยู่อาศัยเป็นพื้นที่ห่างไกลในโลกเซียนของแดนเหนือ ทำให้มีตระกูลที่มีผู้บำเพ็ญจินตานระดับสูงไม่มากนัก
กลุ่มตระกูลสวีมีมากกว่าสามสิบคน ในบรรดาพวกเขามีทายาทต่างแซ่เช่นสวี่หยางเพียงเจ็ดคนเท่านั้น พวกเขาล้วนแต่งงานเข้ามาหรือไม่ก็เป็นบุตรที่แต่งงานแล้วโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งคนอย่างสวี่หยางมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทุกคนประหลาดใจที่สวี่หยางมาเข้าร่วมด้วย ไม่เว้นแม้แต่สวีเชี่ยนเชี่ยน
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา สวีเชี่ยนเชี่ยนกับสวี่หยางไม่เคยพบหน้ากัน เมื่อนึกถึงเรื่องนัดดูตัวในตอนนั้น นางก็อดคร่ำครวญไม่ได้ว่าตนเองได้ตัดสินใจถูกต้องแล้ว
ตอนนี้นางอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับแปด ผู้คนต่างต้องการตัวนาง ไม่เว้นแม้กระทั่งชายหนุ่มผู้อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้า
สำหรับสวี่หยาง แม้จะผ่านไปสามปีก็ยังคงอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับหก
นางยังคงสงสัยว่าการปฏิเสธสวี่หยางเป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่ ถึงอย่างไรหัวหน้าตระกูลก็เป็นคนแนะนำด้วยตัวเอง ซึ่งมันเคยทำให้นางเกิดความสงสัย
แต่ตอนนี้ดูท่าว่านางจะไม่ได้คิดผิด
สวีเชี่ยนเชี่ยนทักทายสวี่หยางด้วยความสุภาพพลางสนทนาสองสามประโยค จากนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
สำนักชิงหยางหาได้อยู่ใกล้ที่นี่แต่อย่างใด โดยต้องผ่านสี่เมืองเซียนกับสี่กองกำลังผู้บำเพ็ญเซียนเสียก่อน
โชคดีที่ตระกูลสวีนำเรือเซียนซึ่งมีความเร็วค่อนข้างสูงมาด้วย พวกเขาใช้เวลาเพียงสิบวันก็มาถึงตีนเขานอกสำนักชิงหยาง
นี่คือเมืองขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ภายใต้สำนักชิงหยาง ทั้งยังเป็นเมืองเซียนขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งโดยสำนักชิงหยาง
“พี่เหวินเผิง ข้าต้องไปหาสหายก่อน คงต้องกล่าวลากันเพียงเท่านี้ ไว้เจอกันตอนประมูล”
เมื่อเข้าสู่เมืองเซียน สวี่หยางก็สนทนากับสวีเหวินเผิง
สวีเหวินเผิงทราบว่าสวี่หยางออกมาครั้งนี้เพราะอยากพบศิษย์สำนักชิงหยาง ซึ่งก่อนออกเดินทางอีกฝ่ายได้มีการเกริ่นเอาไว้ก่อนแล้ว
“พี่สวี่ระวังตัวด้วย หากมีอะไรก็ติดต่อข้าผ่านยันต์สื่อสาร”
หลังจากกล่าวลาสวีเหวินเผิง สวี่หยางก็มุ่งหน้าสู่สำนักชิงหยาง
เนื่องจากภายในเมืองเซียนยังคงมีความปลอดภัย สวี่หยางจึงเดินทางโดยไร้ซึ่งอุปสรรค ไม่ช้าก็มาถึงตีนเขา
ศิษย์สำนักชิงหยางเป็นมิตรมาก โดยเฉพาะตอนเห็นจดหมายที่สวี่หยางนำออกมา
“เจ้าคือสหายแสนดีของพี่เสี่ยวเหมยนี่เอง สหายเต๋าโปรดรอสักครู่ พวกข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้เลย”
ผ่านไปสักพัก ร่างงดงามของหวงเสี่ยวเหมยก็ปรากฏ
“สวี่หยาง ไม่ได้เจอกันเสียนาน กลิ่นอายของเจ้ามั่นคงขึ้นมาก คงถึงคอขวดของขอบเขตกลั่นลมปราณระดับหกแล้วสินะ”
ทันทีที่หวงเสี่ยวเหมยมาถึง นางก็เอ่ยถามพลางแย้มยิ้ม
หลังจากไม่ได้พบกันมานานกว่าสามปี ท่าทีของหวงเสี่ยวเหมยสูงส่งขึ้นมาก หญิงสาวผู้เคยทำนาในชนบทกลายเป็นบุคคลประหนึ่งเซียนอย่างแท้จริง นับว่าน่าทึ่งไม่น้อย
สวี่หยางประหลาดใจเล็กน้อยขณะประสานมือ “สมกับเป็นศิษย์สำนักใหญ่ สายตาช่างเฉียบคมนัก”
หวงเสี่ยวเหมยยิ้ม “ไม่แปลกเลยที่ภรรยาจะหลงเจ้าเช่นนี้ ปากหวานนัก”
หลังจากสนทนาสักพัก หวงเสี่ยวเหมยก็เชิญสวี่หยางเข้าเมืองเซียนไปยังสถานที่ที่ตระเตรียมไว้ให้
ทั้งสองสนทนาเกี่ยวกับสถานการณ์เมื่อไม่นานมานี้ระหว่างเดินไปตามทาง
“ข้าติดต่อน้องชายกับน้องสะใภ้แล้ว พวกเราจะทานข้าวเย็นด้วยกัน” หวงเสี่ยวเหมยกล่าว
ครั้งนี้นางสุภาพกับสวี่หยางมาก นอกจากความจริงที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว อีกเหตุผลก็คือเขาส่งจดหมายพร้อมของมาให้หลายต่อหลายครั้ง
ถึงอย่างไร ยันต์กับโอสถวิญญาณที่สวี่หยางส่งไปก็มีค่าเท่ากับหินวิญญาณมากกว่าห้าร้อยก้อน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน