บทที่ 73 อารมณ์ที่แตกต่างจากเพื่อนสมัยเด็ก
มันคือโอกาสในการขยายเครือข่ายของตนเอง ซึ่งสวี่หยางย่อมไม่ละทิ้งโอกาสดังกล่าว เขาตอบรับมิตรภาพจากทุกคนก่อนจะทิ้งเครื่องหมายของยันต์สื่อสารเอาไว้
สวี่หยางถือจานไว้ในมือเหมือนกับผู้อื่นขณะกินปลาเขียววิญญาณขึ้นชื่อซึ่งจัดวางไว้ตรงกลาง เนื้อของมันมีรสชาติอร่อยและค่อนข้างมีคุณค่าทางโภชนาการ
ขณะรับประทานอาหาร เขาฟังบทสนทนาของศิษย์รอบข้างจนได้รับข้อมูลข่าวสารมาไม่น้อย
หลินไห่ถังผู้เพิ่งพูดคุยไปไม่ทันไรก็หันไปคุยกับผู้บำเพ็ญชายอ้วนคล้ำ คนผู้นี้ร่างไม่สูงและมีใบหน้าค่อนข้างเล็ก ซึ่งเขาเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง ทันทีที่ก้าวเข้ามา ผู้คนทั้งหลายต่างเข้ามาทักทายด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้า”
สวี่หยางสัมผัสกลิ่นอายก่อนจะทราบว่าชื่อของชายผู้นั้นคือหวังสวี่เฉียง แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญมนุษย์ขอบเขตสร้างรากฐานจำนวนมากยังแสดงท่าทีสุภาพและเป็นมิตรต่ออีกฝ่าย
เมื่อตัดสินจากท่าทีของผู้คนรอบข้าง สถานะของคนผู้นี้ย่อมไม่ต่ำต้อย
“ศิษย์พี่หวัง”
หวงเสี่ยวเหมยรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับส่งกระแสจิตหาสวี่หยาง “คนผู้นี้ค่อนข้างมีความสามารถและเป็นที่รักของผู้อาวุโส”
สวี่หยางพยักหน้าเล็กน้อย
“ศิษย์น้องหวง ข้าขอโทษด้วยที่มาสาย พอดีเมื่อครู่กำลังไล่ล่าโจรอยู่น่ะ”
เสียงของหวังสวี่เฉียงแหบแห้ง ใบหน้าคล้ำหันมองคนรอบกาย เขาเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาจนไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะกลิ่นอายหรือนิสัยไม่แยแสที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้น
“ศิษย์พี่หวังยุ่งมากขึ้นนับตั้งแต่เข้าหน่วยรักษาการณ์ของสำนักสินะ” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยคำ
“ช่วยไม่ได้ มันเป็นความรับผิดชอบของพวกเราที่ต้องกำจัดมารปกป้องเต๋า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เสียงชื่นชมก็ดังไม่ขาดสาย
“สวี่หยาง ในฐานะหน่วยรักษาการณ์ของสำนัก หวังสวี่เฉียงมีอำนาจในการกำหนดความเป็นความตาย การผูกมิตรกับคนผู้นี้ย่อมเป็นการดีต่อเจ้า”
หวงเสี่ยวเหมยลอบส่งกระแสจิตขณะแนะนำหวังสวี่เฉียงให้สวี่หยางรู้จัก
หลังจากนางแนะนำตัวแล้ว หวังสวี่เฉียงก็พยักหน้าแล้วเอ่ยคำ “สหายเต๋าสวี่ ศิษย์น้องหวงเคยกล่าวถึงเจ้าให้ข้าฟัง นางบอกว่าเจ้าให้การช่วยเหลือไม่น้อย”
จิตเทวะของสวี่หยางกวาดผ่านขณะเอ่ยถาม “สหายเต๋าหวังได้รับบาดเจ็บหรือ?”
เขาสังเกตเห็นว่าลมหายใจของหวังสวี่เฉียงไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในบริเวณหน้าอกที่คล้ายกับมีอาการบาดเจ็บซ่อนอยู่
นี่คือประโยชน์ของการมีจิตเทวะแข็งแกร่ง ไม่เพียงแต่สามารถสังเกตตำแหน่งของศัตรูได้อย่างง่ายดายเท่านั้น แต่ยังสามารถสังเกตขอบเขตและสภาพร่างกายของศัตรูได้อีกด้วย
ทว่าจิตเทวะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อไปถึงขอบเขตจินตานเท่านั้น ต่อให้ตนเองจะอยู่ขอบเขตสร้างรากฐานก็ไม่สามารถตรวจจับผู้อื่นได้โดยง่าย ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีใครทราบเกี่ยวกับการตรวจจับเมื่อครู่ของสวี่หยาง
หวังสวี่เฉียงตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าสวี่หยางจะมองออก ก่อนจะพยักหน้า “ข้าเพิ่งไปสู้กับโจรมาจนเกิดเหตุไม่คาดฝันเข้า ทำให้มันหลบหนีไปได้”
“โจรคนนั้นไม่ได้อยู่ขอบเขตสร้างรากฐาน แต่มันถึงกับทำร้ายศิษย์พี่ได้งั้นหรือ?”
หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“โจรผู้นี้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่มีฉายาว่าปราชญ์หน้าหยก มันฝึกฝนศาสตร์ชั่วร้ายในการสกัดหยินเติมเต็มหยางจนทำร้ายผู้บำเพ็ญหญิงจากตระกูลเลื่องชื่อจำนวนมาก…”
“มันมีตะขาบพิษซึ่งมีสายเลือดระดับสองอยู่กับตัว หลังจากข้าประมือสักพัก ตะขาบพิษก็พุ่งออกมาโจมตี ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย…”
หวังสวี่เฉียงไม่พูดให้มากความขณะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“โชคดีที่ข้าเตรียมยาถอนพิษเอาไว้ล่วงหน้า ร่างกายก็เลยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก”
“ปราชญ์หน้าหยก…”
หัวใจของสวี่หยางกระตุกวูบ “หน้าตาของโจรผู้นั้นเป็นอย่างไรหรือ?”
“ว่ากันว่ามันดูอ่อนโยนและบริสุทธิ์ แต่ไม่มีใครทราบว่ารูปร่างแท้จริงเป็นเช่นไร ทุกครั้งที่โจรคนนี้ปรากฏ มันจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเรื่อย ๆ”
หวังสวี่เฉียงหรี่ตาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “แม้ขอบเขตการฝึกตนของคนผู้นี้เทียบเท่ากับข้าแต่กลับสามารถทำอันตรายข้าได้ แสดงว่าความแข็งแกร่งจะต้องเหนือกว่าขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้าทั่วไปอย่างแน่นอน เท่าที่ข้าทราบ หากมันอยู่ขอบเขตสร้างรากฐาน ข้าก็ไม่ทราบว่ามีกี่คนในโลกเซียนที่ต้องประสบกับโชคร้าย!”
ทันใดนั้น เขามองไปทางสวี่หยาง “สหายเต๋าสวี่ เจ้ามาจากเมืองสวีเจียฟางใช่หรือไม่? ปราชญ์หน้าหยกถูกไล่ล่าโดยหน่วยรักษาการณ์จนกระทั่งหลบหนีไปทางเจ้า หลังจากกลับไปแล้วก็จงระวังให้มาก โจรผู้นี้มีการปกปิดกลิ่นอายและยากที่จะจัดการได้”
หัวใจของสวี่หยางสั่นสะท้าน “ขอบคุณที่แจ้งให้ข้าทราบ”
“สหายเต๋าสวี่ การที่เจ้าสามารถมองเห็นบาดแผลที่ซ่อนอยู่ในร่างกายข้าได้คงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สงสัยเลยว่าเจ้าถึงฝึกตนจนอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญทั่วไปได้”
หลังจากสนทนากับสวี่หยาง หวังสวี่เฉียงก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีนิสัยดี ทำตัวไม่โดดเด่น ไม่ประจบสอพลอ
เขามีความประทับใจในตัวสวี่หยางจนดื่มร่วมกัน หลังจากผ่านไปสองสามรอบ พวกเขาก็เก็บยันต์สื่อสารของอีกฝ่ายเอาไว้
“หากสหายเต๋าหวังมาที่เมืองสวีเจียฟางในภายภาคหน้า พวกข้าจะต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี” สวี่หยางเอ่ย
“แน่นอน”
สวี่หยางได้รับประโยชน์จากงานเลี้ยงเฉลิมฉลองขนาดเล็กของสำนักชั้นในนี้ มันเป็นการติดต่อกับศิษย์สำนักเป็นครั้งแรก บางคนก็มีนิสัยดี บางคนก็มีนิสัยหยิ่งผยอง
พอถึงช่วงเที่ยงทุกคนก็พากันแยกย้าย
เมื่อสวี่หยางกำลังจะจากไป หวงเสี่ยวเหมยก็โน้มน้าวให้อยู่ต่อก่อนจะพาไปทุ่งวิญญาณซึ่งอยู่หลังถ้ำ
ทุ่งวิญญาณแห่งนี้อุดมไปด้วยปราณวิญญาณ โดยสมุนไพรกับผักวิญญาณทั้งหลายต่างเติบโตที่นั่น บางครั้งก็จะมองเห็นกระต่ายน้อยไร้พิษภัยอยู่ภายใน มันเป็นฉากที่ดูมีชีวิตชีวานัก
“สวี่หยาง ที่ข้าส่งจดหมายไปบอกเจ้าว่าไม่มีใครดูแลทุ่งวิญญาณแห่งนี้ เจ้าสนใจหรือไม่? หากสนใจ ข้าสามารถสร้างห้องให้เจ้าได้! การฝึกฝนที่นี่นอกจากจะปลอดภัยแล้วก็ยังมีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นผลดีกับเจ้า หากอยู่ที่นี่สักระยะ ข้ารับปากเลยว่าเจ้าจะเข้าสู่สำนักชั้นนอกได้อย่างแน่นอน…”
“ส่วนการเปิดร้านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่นก็ได้…”
“มันก็ดีอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจแยกจากภรรยาได้”
หวงเสี่ยวเหมยพยายามโน้มน้าวอีกหลายครั้ง แต่สวี่หยางก็ปฏิเสธจนสิ้น
……
หลังไปจากที่นี่ สวี่หยางก็กลับมาที่ภัตตาคารเซียนเฉิง
เมื่อกลับมาถึงห้องแล้วนึกถึงคำพูดของหวงเสี่ยวเหมย สวี่หยางก็ทราบว่านางคล้ายกับมีความรู้สึกที่ต่างออกไปราวกับอยากรำลึกถึงอดีต
แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเขาเข้าใจผิด
สวี่หยางเกิดอาการปวดหัวด้วยไม่ทราบว่าหวงเสี่ยวเหมยหมายความอย่างไร
ในตอนนี้ เสียงหนึ่งดังมาจากยันต์สื่อสาร มันเป็นของสวีเหวินเผิง
เขาบอกว่าตนเองกับพี่สาวกำลังจะออกไปเที่ยวเล่น ก็เลยอยากชวนเขาไปด้วย
สวี่หยางขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าสวีเหวินเผิงอยากให้เขากับสวีเชี่ยนเชี่ยนอยู่ด้วยกัน
แม้เขาจะชอบสวีเชี่ยนเชี่ยนมากแต่ก็มองออกว่านางไม่ได้เหลียวแลตน เขาจึงไม่คิดตื๊ออีกฝ่าย ก่อนจะตอบว่าติดธุระอื่นจนไม่สามารถไปเที่ยวเล่นได้
เขาวางแผนจะทำสมาธิและฝึกฝนเคล็ดวิชาหล่อเลี้ยงปราณวิญญาณวารี

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน