ภายในตำหนักหย่งเหอ
ยามที่เซียวอวี้มาถึงนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังดื่มยาอยู่
นางสวมใส่อาภรณ์ที่เรียบง่าย นั่นจึงทำให้ทั่วร่างของนางเจือไปด้วยกลิ่นอายความเย็นชาราวกับแสงจันทร์
ยานั้นแค่ได้กลิ่นก็นึกขมยิ่งนัก มิต้องคิดไปถึงยามที่กินเข้าไปเลย
เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นยืนโค้งกายทำความเคารพด้วยท่าทีเฉยเมย
“เข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ”
“ข้าบอกแล้วว่า อาการบาดเจ็บเจ้ายังไม่หายดี มิจำเป็นต้องทำความเคารพ”
“เพคะ”
หลังจากที่เซียวอวี้นั่งลงแล้วนั้น ยามที่เขาคิดจะเอ่ยถามถึงเรื่องหนังสือร้องเรียน ก็พลันเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดไร้สีของนางเข้าเสียก่อน
เพียงมิได้พบหน้านางไม่กี่วัน นางกลับดูซูบเซียวไปได้มากถึงเพียงนี้เลยหรือ
ข้ารับใช้ในตำหนักหย่งเหอไปทำอะไรกันหมด แม้แต่เจ้านายของตนเองก็ยังมิอาจปรนนิบัติรับใช้ให้ดีได้!
“เชิญหมอหลวงมาแล้วหรือยัง?” เซียวอวี้เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ใบหน้าดูเศร้าโศกยิ่งนัก
“มาแล้วเพคะ สุขภาพร่างกายของหม่อมฉันหาได้เป็นอันใดมากไม่”
เหลียนซวงพลันเข้ามาได้ทันเวลาพอดี
“ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮามีความคิดอยากกลับไปเยี่ยมตระกูลของตนเอง ทำให้พระนางในยามนี้กินมิได้นอนไม่หลับเพคะ”
เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้เอ่ยปฏิเสธออกมา นางกลับหลุบตาลงเล็กน้อย ทำให้ดูอ่อนโยนเจือไปด้วยความสง่างาม
เซียวอวี้พลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก
พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า
“งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ผ่านไปได้ไม่นาน? ในยามนี้เจ้าเป็นถึงเจ้านายของวังหลังแล้ว เจ้าควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสนมคนอื่น ๆ”
สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนราวกับมีไอความมืดอยู่ในดวงตาของนาง
“เพคะ หม่อมฉันทราบดี เข้าวังแล้วไซร้ เลือดในกายย่อมตื้นเขิน”
เซียวอวี้จึงเอ่ยถามนางขึ้นมาตามหัวข้อนี้
“หนังสือร้องเรียนนั่น เป็นเจ้าที่เอาเข้าร่วมพิธีการด้วยใช่หรือไม่?”
เหลียนซวงมีท่าทีตื่นตระหนกไปในทันที ก่อนจะก้มหน้าลงโดยไว ราวกับหวาดกลัวว่าฝ่าบาทจะสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติของนางเข้า
เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงตอบคำถามกลับเซียวอวี้ด้วยท่าทีเย็น
“เพคะ”
“เดิมทีหม่อมฉันอยากจะมอบให้เป็นของขวัญในพิธีของท่าน ทว่า ท้ายที่สุดไปปรากฏในกล่องของขวัญของจิ้งกุ้ยเหริน นั่นเป็นสิ่งที่หม่อมฉันมิทันได้คาดคิดเอาไว้”
หากว่าสลัดเรื่องทุกอย่างให้พ้นตัวนั้น ฝ่าบาทย่อมมิมีทางเชื่อถือแน่
ทว่า นางก็มิอาจบอกเรื่องราวออกไปได้ทั้งหมดเช่นกัน
แววตาของเซียวอวี้พลันมืดครึ้มลงไปในทันที
“หนังสือร้องเรียนแผ่นนั้น เจ้าได้มันมาจากที่ใด”
เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยบอกตามตรง
“พี่ชายของหม่อมฉันได้มาจากการช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกตามล่าเอาไว้เพคะ เขามิรู้ว่าควรจะจัดการเช่นไร จึงได้นำมาฝากเอาไว้กับหม่อมฉัน...”
เซียวอวี้ขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อย
“ผู้ที่เฟิ่งเหยียนเฉินช่วยชีวิตเอาไว้อยู่ที่ใดแล้ว?”
เฟิ่งจิ่วเหยียนจงใจเปิดเผยเรื่องราวนี้ขึ้นมา นั่นเป็นเพราะนางได้ยินมาว่า เขาต้องการไล่แม่ทัพตระกูลมู่หรงออก หากแต่ขาดพยานหลักฐานโดยตรงเท่านั้น
ผู้ที่มีลายนิ้วมือในหนังสือร้องเรียนเหล่านั้น ล้วนเสียชีวิตไปเกือบทั้งหมดแล้ว
ผู้รอดชีวิตที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวคือคนที่เฟิ่งเหยียนเฉินได้ช่วยเหลือเอาไว้
“เรื่องนี้หม่อมฉันมิได้รู้มากนักเพคะ ให้พี่ชายของหม่อมฉันขึ้นทูลต่อฝ่าบาทโดยตรงย่อมเป็นการดีกว่า”
เมื่อมีเรื่องด่วนเข้ามา เซียวอวี้จึงต้องรีบจากไป
ก่อนจะออกไปนั้น เขายังหันมาเอ่ยเตือนต่อเฟิ่งจิ่วเหยียนว่า
“นี่มิใช่ครั้งแรกแล้ว วังหลังห้ามยื่นมือมาสอดยุ่งเรื่องของราชสำนัก เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี!”
เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงพยักหน้าลงด้วยท่าทีเชื่อฟัง
“เพคะ”
หลังจากที่เซียวอวี้จากไปนั้น เหลียนซวงจึงหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
นางเอามือกุมหน้าอกของตนเองเล็กน้อย
“ฮองเฮาเพคะ จู่ ๆ ฝ่าบาททรงเอ่ยถามเรื่องหนังสือร้องเรียนนั้น น่าสงสัยยิ่งนัก”
“เรื่องที่กองทัพมังกรพยัคฆ์ถูกกวาดล้างไปจนหมดนั้น เจ้าสืบความมาได้เช่นไรบ้าง?”
ก่อนเริ่มสงครามนั้น กองทัพมังกรพยัคฆ์ได้รับคำสั่งให้เฝ้ารักษาการณ์อยู่บนเนินเขาหานซาน พวกเขาทุกคนล้วนเป็นทหารกล้า ถึงแม้จะถูกพวกรัฐเหลียงลอบกัดเช่นนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มิมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่แม้แต่ผู้เดียว
เรื่องนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ต้องมีไส้ศึกในนั้นอย่างแน่นอนเลย
นางสงสัยว่าเป็นเฉียวม่อ
ถึงอย่างไร หากมิมีเรื่องของกองทัพพยัคฆ์มังกรเช่นนี้ หนานฉีย่อมมิมีทางเสียเปรียบจนสูญสิ้นเส้นทางขนส่งอาหารได้ อีกทั้งเฉียวม่อย่อมไม่มีโอกาสได้กลับมาที่ค่ายทหารอีกแน่ ทั้งยังมีคำสั่งให้ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยแทนที่จิ่วเหยียนอีก
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จักดูเหมือนเรื่องบังเอิญ หากแต่นางกลับรู้สึกว่า คล้ายจักเป็นเรื่องบังเอิญ บางทีอาจจะมีการชักใยอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้...
องครักษ์พลางกล่าวว่า “ฮูหยินขอรับ หาได้พบเจอสิ่งใดน่าสงสัยไม่ขอรับ”
ฮูหยินเมิ่งหยิบแก้วน้ำขึ้นมาบ้วนปากของตนเอง
พลางกล่าวออกมาด้วยความเย็นชาว่า
“ดูเหมือนว่านางจะซ่อนมันได้ดียิ่งนัก สืบต่อไป ข้ามิเชื่อว่านางจักไม่ทิ้งร่องรอยอันใดเอาไว้”
“ขอรับฮูหยิน!”
……
จวนแม่ทัพภายในค่ายทหารเป่ยต้า
เมื่อสงครามสิ้นสุดลงนั้น การที่ฮูหยินเมิ่งพักอยู่ในค่ายทหารนั้นหาได้มีความสะดวกสบายไม่ นางจึงคิดกลับไปพักที่จวนแม่ทัพก่อน
วันธรรมดาเช่นนี้ แม่ทัพเมิ่งมักจะใช้เวลาในการฝึกฝนพลทหารยามกลางวัน พร้อมกลับมาพักผ่อนที่จวนแม่ทัพในยามกลางคืน
เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เป็นเช่นกัน
ทว่า ห้องของนางในยามนี้ ถูกเฉียวม่อยึดครองไปแล้ว
ในยามราตรีที่เงียบสงบ เฉียวม่อกลับนำเตาไฟเข้ามาภายในห้อง เพลิงไฟพลันสะท้อนให้เห็นใบหน้าของนาง ราวกับจะกลืนกินนางเข้าไป
เฉียวม่อถือกองจดหมายขึ้นมาก่อนจะโยนมันลงไปในเตาไฟ
จู่ ๆ พลันมีเสียงตะโกนดังมาจากประตูห้อง
“เจ้ากำลังทำอะไร!”
นั่นคือฮูหยินเมิ่ง
ฮูหยินเมิ่งรีบก้าวเข้ามาในทันที ก่อนจะแย่งจดหมายในมือของเฉียวม่อไป
เฉียวม่อพลันตื่นตระหนกไปในทันที พร้อมทั้งหลบสายตา

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย
เติมเหรียญไปแล้ว แต่ปลดล็อกไม่ได้ มีข้อความว่าเกิดข้อผิดพลาด กรุณาลองใหม่อีกครั้ง...
เติมเหรีญญไป 500 เหรียญ เริ่มกดซื่อตอน จาก 223 มาถึงตอน 227 = 5 ตอน 40 เหรัยญ แต่ตอนนี้มีเหรียญคงเหลือ 444 เหรียญ และเปิดอ่านย้อนหลังไม่ได้ ช่วยแก้ไขด้วยค่ะ...
สนุกดี แต่ใช้บัตร์เติมเงินเอไอเอสไม่ได้ ขอบคุที่ให้อ่าน...