เข้าสู่ระบบผ่าน

แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย นิยาย บท 257

เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสายตาเย็นยะเยือกของบุรุษผู้นั้น “ข้าจักไปหา...”

เซียวอวี้ขัดจังหวะคำพูดของนางอย่างเย็นชา ออกคำสั่งว่า

“อยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน”

สิ้นคำพูดนี้ เขาพลันหมดสติลงไป

ทว่าเขายังจับข้อมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้แน่น เสมือนศพที่แข็งตัวแล้ว แม้นเกิดอันใดขึ้นก็แยกออกไปมิได้

เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องออกแรงอย่างมากมาย ค่อย ๆ ง้างนิ้วของเขาออกทีละนิ้ว จึงสามารถดึงข้อมือออกมาได้

ทว่ารอบข้อมือของนางมีรอยแดงประทับอยู่

แสดงให้เห็นว่าเขาใช้ความแข็งแกร่งมากเพียงใด

……

เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะก้าวเท้าออกจากธรณีประตูลานบ้าน คู่สามีภรรยาชรายกน้ำร้อนเดินมาพอดี จึงบังเอิญเห็นเข้า พลันเร่งรีบตามมาขวางนางเอาไว้ และถามอย่างกังวลใจ

“เฮ้! ช้าก่อน! แม่นาง เจ้า...เจ้าจะไปแล้วหรือ?”

เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาช่างเดาแม่นจริง ๆ

หญิงชรากล่าวว่า “แม่นาง เจ้าไปไม่ได้! หากว่าเจ้าไปแล้ว คนผู้นั้น...คนผู้นั้นตายลงไปเล่า พวกเราสองชราจักไปตามหาใครมารับผิดชอบได้?”

พวกเขากลัวว่านางจะหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง แล้วทิ้งปัญหาใหญ่ให้พวกตนจัดการ

บางเรื่องมิจำเป็นต้องพูดออกมา พวกเขาก็มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

เฟิ่งจิ่วเหยียนคงไว้ซึ่งท่าทางสุขุม อธิบายต่อพวกเขา

“ข้ามิได้ไปแล้วไปลับ ทว่าตอนเดินทางมาพวกเรามีคนรับใช้ร่วมเดินทางด้วย ข้าจึงอยากออกไปตามหาเขา สำหรับสามีของข้ามิมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตแล้ว...”

“ไม่ว่าจักพูดอย่างไรก็ตามเถอะ เจ้าไม่สามารถออกไปได้! พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดารักษากฎบ้านเมือง ไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องความเป็นความตายเช่นนี้!” ชายชรามีทัศนคติแข็งกร้าว ปิดประตูลานบ้านไม่ให้ผ่าน

หญิงชราวางน้ำร้อนลง ผลักแผ่นหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนให้กลับเข้าไปในห้อง

หลานชายตัวน้อยก็จ้องมองนางด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

หลังจากนั้น ก็มีเสียงดัง “ปัง” ตามมา อีกทั้งห้องของพวกนางถูกลงสลักปิดประตูจากด้านนอกด้วย

เฟิ่งจิ่วเหยียน : …

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เซียวอวี้รู้สึกตัวแล้ว

เขาลืมตาขึ้นมอง จึงได้เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ สายตาจดจ้องมองไปที่ประตูห้อง

แม้ว่าใบหน้าของนางไร้ซึ่งอารมณ์ กลับดูเหมือนจักมีรัศมีแห่งความคับแค้นใจแผ่อยู่รอบตัวนาง

ในเวลานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน

นางหันกลับมา สบเข้ากับนัยน์ตาสีรัตติกาลเจือความเศร้าวังเวงและมืดสลัวของเขา

เซียวอวี้ได้รับบาดเจ็บจากลูกศรอาบยาพิษ มิหนำซ้ำยังร่วงตกจากที่สูง ยากนักที่กล้ามเนื้อและกระดูกจักไม่บาดเจ็บ แม้ว่าคิดอยากลุกขึ้นนั่ง ก็มิอาจทำได้

เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งมองอยู่ตรงนั้น ไร้เจตนายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

จนกระทั่งเซียวอวี้เรียกนาง

“มานี่”

ยามนี้นางจึงยอมลุกขึ้น “ท่านจะทำอันใด”

ตามความคิดของนางคือ เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บ ก็สมควรนอนพักให้ดี ๆ

“ช่วยเราลุกขึ้นนั่ง” เซียวอวี้นัยน์ตาเย็นชา น้ำเสียงแข็งกระด้าง

เฟิ่งจิ่วเหยียนยื่นมือเข้าช่วยพยุง พลางเอ่ยด้วยความหนักอกหนักใจ

“ข้าเป็นห่วงเฉินจี๋ อยากออกไปตามหาเขา”

เซียวอวี้ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว พลันได้ยินนางพูดเช่นนี้ หว่างคิ้วจึงขมวดมุ่น

“เขาไม่ตายง่าย ๆ ขนาดนั้น”

เตียงในบ้านชาวนามิค่อยแข็งแรงนัก เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็ส่งเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” แล้ว

เซียวอวี้ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย นึกอยากออกจากสถานที่แห่งนี้เต็มทน

“กี่ยามแล้ว”

“ราว ๆ ยามซี[1]สามเค่อ”

“ที่นี่ห่างจากตัวเมืองเท่าไร” เซียวอวี้ถามอีกครั้ง

“ไม่รู้” เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวตามความจริง

เนื่องจากนางไร้เจตนาจะกลับเข้าเมือง ย่อมมิได้สอบถามระยะทางจากคู่สามีภรรยาชรา

นางเกือบใช้วิธีโยนหมั่นโถวออกไปให้ด้วยความเคยชิน

โชคดีที่ควบคุมตัวเองไว้ทัน จึงถือหมั่นโถว แล้วยื่นให้เขา

เดิมคิดว่าเขาเป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งของแว่นแคว้นคงจักไม่คุ้นชินกับการกินธัญพืชหยาบของชนบท กลับเห็นเขากัดกินหมั่นโถวโดยไม่รังเกียจเลย ค่อย ๆ เคี้ยวกินอย่างไม่รีบร้อน

ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยดินโคลน ส่งผลให้เขาดูจับต้องได้บ้าง

มิสูงส่งอยู่เหนือมวลชน และดูแคลนทุกสรรพสิ่งเหมือนยามปกติ

หารู้ไม่ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตเขา เขาก็เฝ้าสังเกตนางเงียบ ๆ เช่นกัน

ในความคิดของเขา เห็นว่าคุณหนูตระกูลขุนนางผู้ถูกเอาอกเอาใจแต่เยาว์วัย คงมิคุ้นชินกับหมั่นโถวเนื้อหยาบเช่นนี้

ทว่าราวกับนางจักคุ้นเคยกับอาหารประเภทนี้ ไม่มีปฏิกิริยาที่ฝืดคอจนยากจะกลืนเลย

เขาอดสงสัยมิได้ว่า ในอดีตนางเคยผ่านประสบการณ์ใดมาบ้าง

ราตรีนี้ ยังคงเป็นอีกราตรีหนึ่งที่ยากจะข่มตาหลับ

วันรุ่งขึ้น

เฟิ่งจิ่วเหยียนอดรนทนมิไหวอีกแล้ว

นางหยิบยกเรื่องการเก็บยาสมุนไพรบนภูเขามาเป็นข้ออ้าง บอกว่าบาดแผลของเซียวอวี้ต้องใช้ยา จึงออกเดินทางแต่เช้าโดยแบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง

คู่สามีภรรยาชราเห็นว่าเซียวอวี้ฟื้นแล้ว ยังดูไม่เหมือนคนใกล้ตายแล้วจริง ๆ พวกเขาจึงมิได้ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนลำบากใจอีก

หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาเหรินหวง

เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ตั้งใจเดินขึ้นเขาจริง ๆ เมื่อออกจากทางเข้าหมู่บ้าน นางจึงวางแผนปลดตะกร้าไม้ไผ่ทิ้งไว้ตรงนี้ แล้วเดินจากไป

ในขณะนั้นเอง มีเสียงร้องเรียกของเด็กน้อยดังมาจากทางด้านหลัง

“พี่สาว!”

เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกลับไปมอง จึงได้เห็นว่าเป็นหลานชายของคู่สามีภรรยาชรา มิหนำซ้ำเขายังมีผู้ติดตามมาด้วย คือเซียวอวี้ที่ยังดูอ่อนแอขี้โรค ทว่าเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามมิเสื่อมคลาย

เซียวอวี้มองดูตะกร้าไม้ไผ่ที่นางโยนทิ้งไว้บนพื้น ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันที่ชวนให้ขบคิด ทำให้ผู้คนเห็นแล้วไม่หนาวแต่ตัวสั่นระริกได้

“นี่เจ้า คิดจักทำอันใด?”

-------------------------------------------

[1] ยามซี คือ ช่วงเวลา 19:00 – 21:00 น.

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย