เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสายตาเย็นยะเยือกของบุรุษผู้นั้น “ข้าจักไปหา...”
เซียวอวี้ขัดจังหวะคำพูดของนางอย่างเย็นชา ออกคำสั่งว่า
“อยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน”
สิ้นคำพูดนี้ เขาพลันหมดสติลงไป
ทว่าเขายังจับข้อมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้แน่น เสมือนศพที่แข็งตัวแล้ว แม้นเกิดอันใดขึ้นก็แยกออกไปมิได้
เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องออกแรงอย่างมากมาย ค่อย ๆ ง้างนิ้วของเขาออกทีละนิ้ว จึงสามารถดึงข้อมือออกมาได้
ทว่ารอบข้อมือของนางมีรอยแดงประทับอยู่
แสดงให้เห็นว่าเขาใช้ความแข็งแกร่งมากเพียงใด
……
เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะก้าวเท้าออกจากธรณีประตูลานบ้าน คู่สามีภรรยาชรายกน้ำร้อนเดินมาพอดี จึงบังเอิญเห็นเข้า พลันเร่งรีบตามมาขวางนางเอาไว้ และถามอย่างกังวลใจ
“เฮ้! ช้าก่อน! แม่นาง เจ้า...เจ้าจะไปแล้วหรือ?”
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาช่างเดาแม่นจริง ๆ
หญิงชรากล่าวว่า “แม่นาง เจ้าไปไม่ได้! หากว่าเจ้าไปแล้ว คนผู้นั้น...คนผู้นั้นตายลงไปเล่า พวกเราสองชราจักไปตามหาใครมารับผิดชอบได้?”
พวกเขากลัวว่านางจะหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง แล้วทิ้งปัญหาใหญ่ให้พวกตนจัดการ
บางเรื่องมิจำเป็นต้องพูดออกมา พวกเขาก็มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เฟิ่งจิ่วเหยียนคงไว้ซึ่งท่าทางสุขุม อธิบายต่อพวกเขา
“ข้ามิได้ไปแล้วไปลับ ทว่าตอนเดินทางมาพวกเรามีคนรับใช้ร่วมเดินทางด้วย ข้าจึงอยากออกไปตามหาเขา สำหรับสามีของข้ามิมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตแล้ว...”
“ไม่ว่าจักพูดอย่างไรก็ตามเถอะ เจ้าไม่สามารถออกไปได้! พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดารักษากฎบ้านเมือง ไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องความเป็นความตายเช่นนี้!” ชายชรามีทัศนคติแข็งกร้าว ปิดประตูลานบ้านไม่ให้ผ่าน
หญิงชราวางน้ำร้อนลง ผลักแผ่นหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนให้กลับเข้าไปในห้อง
หลานชายตัวน้อยก็จ้องมองนางด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
หลังจากนั้น ก็มีเสียงดัง “ปัง” ตามมา อีกทั้งห้องของพวกนางถูกลงสลักปิดประตูจากด้านนอกด้วย
เฟิ่งจิ่วเหยียน : …
หนึ่งชั่วยามต่อมา
เซียวอวี้รู้สึกตัวแล้ว
เขาลืมตาขึ้นมอง จึงได้เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ สายตาจดจ้องมองไปที่ประตูห้อง
แม้ว่าใบหน้าของนางไร้ซึ่งอารมณ์ กลับดูเหมือนจักมีรัศมีแห่งความคับแค้นใจแผ่อยู่รอบตัวนาง
ในเวลานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน
นางหันกลับมา สบเข้ากับนัยน์ตาสีรัตติกาลเจือความเศร้าวังเวงและมืดสลัวของเขา
เซียวอวี้ได้รับบาดเจ็บจากลูกศรอาบยาพิษ มิหนำซ้ำยังร่วงตกจากที่สูง ยากนักที่กล้ามเนื้อและกระดูกจักไม่บาดเจ็บ แม้ว่าคิดอยากลุกขึ้นนั่ง ก็มิอาจทำได้
เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งมองอยู่ตรงนั้น ไร้เจตนายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
จนกระทั่งเซียวอวี้เรียกนาง
“มานี่”
ยามนี้นางจึงยอมลุกขึ้น “ท่านจะทำอันใด”
ตามความคิดของนางคือ เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บ ก็สมควรนอนพักให้ดี ๆ
“ช่วยเราลุกขึ้นนั่ง” เซียวอวี้นัยน์ตาเย็นชา น้ำเสียงแข็งกระด้าง
เฟิ่งจิ่วเหยียนยื่นมือเข้าช่วยพยุง พลางเอ่ยด้วยความหนักอกหนักใจ
“ข้าเป็นห่วงเฉินจี๋ อยากออกไปตามหาเขา”
เซียวอวี้ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว พลันได้ยินนางพูดเช่นนี้ หว่างคิ้วจึงขมวดมุ่น
“เขาไม่ตายง่าย ๆ ขนาดนั้น”
เตียงในบ้านชาวนามิค่อยแข็งแรงนัก เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็ส่งเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” แล้ว
เซียวอวี้ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย นึกอยากออกจากสถานที่แห่งนี้เต็มทน
“กี่ยามแล้ว”
“ราว ๆ ยามซี[1]สามเค่อ”
“ที่นี่ห่างจากตัวเมืองเท่าไร” เซียวอวี้ถามอีกครั้ง
“ไม่รู้” เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวตามความจริง
เนื่องจากนางไร้เจตนาจะกลับเข้าเมือง ย่อมมิได้สอบถามระยะทางจากคู่สามีภรรยาชรา
นางเกือบใช้วิธีโยนหมั่นโถวออกไปให้ด้วยความเคยชิน
โชคดีที่ควบคุมตัวเองไว้ทัน จึงถือหมั่นโถว แล้วยื่นให้เขา
เดิมคิดว่าเขาเป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งของแว่นแคว้นคงจักไม่คุ้นชินกับการกินธัญพืชหยาบของชนบท กลับเห็นเขากัดกินหมั่นโถวโดยไม่รังเกียจเลย ค่อย ๆ เคี้ยวกินอย่างไม่รีบร้อน
ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยดินโคลน ส่งผลให้เขาดูจับต้องได้บ้าง
มิสูงส่งอยู่เหนือมวลชน และดูแคลนทุกสรรพสิ่งเหมือนยามปกติ
หารู้ไม่ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตเขา เขาก็เฝ้าสังเกตนางเงียบ ๆ เช่นกัน
ในความคิดของเขา เห็นว่าคุณหนูตระกูลขุนนางผู้ถูกเอาอกเอาใจแต่เยาว์วัย คงมิคุ้นชินกับหมั่นโถวเนื้อหยาบเช่นนี้
ทว่าราวกับนางจักคุ้นเคยกับอาหารประเภทนี้ ไม่มีปฏิกิริยาที่ฝืดคอจนยากจะกลืนเลย
เขาอดสงสัยมิได้ว่า ในอดีตนางเคยผ่านประสบการณ์ใดมาบ้าง
ราตรีนี้ ยังคงเป็นอีกราตรีหนึ่งที่ยากจะข่มตาหลับ
วันรุ่งขึ้น
เฟิ่งจิ่วเหยียนอดรนทนมิไหวอีกแล้ว
นางหยิบยกเรื่องการเก็บยาสมุนไพรบนภูเขามาเป็นข้ออ้าง บอกว่าบาดแผลของเซียวอวี้ต้องใช้ยา จึงออกเดินทางแต่เช้าโดยแบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง
คู่สามีภรรยาชราเห็นว่าเซียวอวี้ฟื้นแล้ว ยังดูไม่เหมือนคนใกล้ตายแล้วจริง ๆ พวกเขาจึงมิได้ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนลำบากใจอีก
หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาเหรินหวง
เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ตั้งใจเดินขึ้นเขาจริง ๆ เมื่อออกจากทางเข้าหมู่บ้าน นางจึงวางแผนปลดตะกร้าไม้ไผ่ทิ้งไว้ตรงนี้ แล้วเดินจากไป
ในขณะนั้นเอง มีเสียงร้องเรียกของเด็กน้อยดังมาจากทางด้านหลัง
“พี่สาว!”
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกลับไปมอง จึงได้เห็นว่าเป็นหลานชายของคู่สามีภรรยาชรา มิหนำซ้ำเขายังมีผู้ติดตามมาด้วย คือเซียวอวี้ที่ยังดูอ่อนแอขี้โรค ทว่าเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามมิเสื่อมคลาย
เซียวอวี้มองดูตะกร้าไม้ไผ่ที่นางโยนทิ้งไว้บนพื้น ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันที่ชวนให้ขบคิด ทำให้ผู้คนเห็นแล้วไม่หนาวแต่ตัวสั่นระริกได้
“นี่เจ้า คิดจักทำอันใด?”
-------------------------------------------
[1] ยามซี คือ ช่วงเวลา 19:00 – 21:00 น.

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย
ในกระเป๋ายังมีเหรียญเหลิออยู่ 220 เหรียญแต่ทำไมปลดล็อกไม่ได้คะ แก้ไขให้หน่อยค่ะ...
ในกระเป๋ายังมีเหรียญเหลืออยู่ 220 เหรียญแต่ปลดล็อกไม่ได้ แก้ไขให้หน่อยค่ะ...
เติมเหรียญไปแล้ว แต่ปลดล็อกไม่ได้ มีข้อความว่าเกิดข้อผิดพลาด กรุณาลองใหม่อีกครั้ง...
เติมเหรีญญไป 500 เหรียญ เริ่มกดซื่อตอน จาก 223 มาถึงตอน 227 = 5 ตอน 40 เหรัยญ แต่ตอนนี้มีเหรียญคงเหลือ 444 เหรียญ และเปิดอ่านย้อนหลังไม่ได้ ช่วยแก้ไขด้วยค่ะ...
สนุกดี แต่ใช้บัตร์เติมเงินเอไอเอสไม่ได้ ขอบคุที่ให้อ่าน...