เข้าสู่ระบบผ่าน

แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย นิยาย บท 66

ยามปกติเซียวอวี้โปรดปรานการไปสนามม้าหลวง แต่หากเป็นการไปทอดพระเนตรเหล่านางสนมทำการแสดง เขาหาได้สนใจไม่

ทว่าไทเฮากลับมาเชิญเขาด้วยพระองค์เองเสียนี่

“ฝ่าบาทราชกิจรัดตัว เดิมข้าไม่สมควรมารบกวน”

“แต่ช่วงนี้ในราชสำนักมีข่าวลือหนาหูว่าพวกเราแม่ลูกหมางใจกัน เพื่อความมั่นคงของราชสำนักและวังหลังแล้วต้องทำอะไรเสียหน่อย”

“วันนี้ก็ถือโอกาสเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า ดีหรือไม่?”

......

ณ สนามม้าหลวง

ไทเฮาเหลือบมองนางสนมหลายนางที่ขี่ม้าอยู่ก็แย้มพระโอษฐ์ไม่หยุด

พวกนางยอมทุ่มเทขนาดนี้เพื่อที่จะได้รับความโปรดปราน ลำบากพวกนางแล้ว

“ฮ่องเต้ ท่านเชี่ยวชาญทักษะการขี่ม้า ลองทอดพระเนตรพวกนางดูว่ามีจุดไหนไม่เหมาะสมหรือไม่?”

สีหน้าเซียวอวี้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทอดมองไปยังเงาร่างของฮองเฮาที่กำลังจูงม้าเดินเข้ามาอยู่ไม่ไกล

“หัวมังกุท้ายมังกร [1]”

สีหน้าไทเฮาแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย

ฮ่องเต้ทรงไร้อารมณ์เช่นนี้ เกรงว่านางสนมเหล่านี้จะต้องผิดหวังอีกแล้ว

น่าเสียดายน้ำใจนี้ของฮองเฮานัก

เฟิ่งจิ่วเหยียนส่งม้าให้กับผู้ดูแล แล้วเดินไปเบื้องหน้าของไทเฮาและฮ่องเต้

“หม่อมฉันคารวะเสด็จแม่และฝ่าบาทเพคะ”

สายตาไทเฮาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนเมตตากล่าวว่า “รีบลุกขึ้นเถิด ฮองเฮา งานแข่งขันขี่ม้าโปโลของเจ้านี้แปลกใหม่ยิ่งนัก ลำบากเจ้าสิ้นเปลืองความคิดแล้ว”

“ช่างสิ้นเปลืองความคิดเสียจริง” เซียวอวี้กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความประชดประชัน

อย่างพวกนางจะตีโดนอะไรได้หรือ?

“เริ่มเถิด เรายังมีกองฎีกาค้างอยู่อีกมากนัก”

เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ลนลานกระสับกระส่าย นางกล่าวตอบ

“รอน้องสาวอีกไม่กี่คนเตรียมพร้อม ก็จะเริ่มได้แล้วเพคะ”

เหล่าข้าหลวงได้เตรียมปะรำพิธีสำหรับชมการแข่งขันพร้อมติดตั้งหลังคากันร้อนเอาไว้

เมื่อทุกคนนั่งลง ไทเฮาก็ตรัสถามเฟิ่งจิ่วเหยียน

“ฮองเฮา เจ้าไม่ร่วมแข่งกับพวกนางหรือ?”

เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบด้วยท่าทางสงบนิ่ง

“เพคะ”

ไทเฮาแสดงท่าทางเสียดายออกมา “น่าเสียดาย ข้าจำได้ว่าทักษะการขี่ม้าของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก”

เหล่านางสนมที่เตรียมตัวขี่ม้าเข้าสนามต่างก็ทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล

“ในที่สุดฝ่าบาทก็เสด็จมาทอดพระเนตรพวกเราแล้ว! ข้าตื่นเต้นจัง!”

“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงจะขยันเพิ่มการฝึกซ้อมไปแล้ว”

“เริ่มแล้ว เริ่มแล้ว!”

เหล่านางสนมขี่ม้าออกไปตามลำดับ แสดงผลการฝึกซ้อมหลายวันมานี้ของตัวเอง

บนปะรำพิธี ไทเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์ไม่หยุด

“เสียนเฟยร่างกายอ่อนแอ นึกไม่ถึงว่าพอขี่ม้าแล้วท่าทางกลับดูดีไม่เลว”

การแสดงของสนมอีกหลายคนหลังจากนั้น ไทเฮาล้วนทรงตรัสชม มากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป ทว่าทุกครั้งที่นางทอดพระเนตรท่าทางของฮ่องเต้ เขาก็ยังคงดูเคร่งขรึมเย็นชาอยู่อย่างนั้น

บรรยากาศรอบกายของเขาช่างน่าเกรงขามและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำเอานางสนมเจียงปีนขึ้นม้าอยู่นานก็ยังขึ้นไม่ได้ แถมยังตกจากม้าอีกด้วย

ผ่านไปไม่นานก็ถึงเวลาของนางสนมเจีย

ได้เห็นนางทำให้ม้าสงบนิ่ง ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้น ใช้เท้าเดียวเหยียบบนหลังม้า สองมือจับเชือกบังเหียน ยกเท้าอีกข้างขึ้นไปเหยียบ แล้วเริ่มการเต้นรำที่งามสง่าทั้งยังนุ่มนวลงดงามบนหลังม้า

เมื่อไทเฮาเห็นภาพฉากนี้ ใบหน้าก็ฉายความกระสับกระส่ายออกมาแว่บหนึ่ง

นางสนมเจียสุขใจยิ่ง

“หม่อมฉันคารวะไทเฮา คารวะฝ่าบาท และฮองเฮาเพคะ!”

ในยามนั้นเองไทเฮาก็รับสัญญาณจากสายตาเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างเหมาะเจาะว่า

“พอเห็นพวกนางขี่ม้า ข้าเองก็อยากลงไปเดินเล่นเสียบ้าง”

เฟิ่งจิ่วเหยียนรุดหน้าขึ้นทันที “ลูกไปเป็นเพื่อนเสด็จแม่เองเพคะ”

และแล้วทั้งสองคนก็ไปจากปะรำพิธี ทิ้งเซียวอวี้และนางสนมเจียไว้เช่นนี้

เดิมทีเซียวอวี้ก็ไม่อยากจะมาที่นี่อยู่แล้ว เขาจึงลุกขึ้นเพื่อจากไปเช่นกัน นางสนมเจียทำใจกล้าออกปากกล่าว

“ฝ่าบาท เมื่อคืนวานหม่อมฉันฝันถึงหรงเฟยเพคะ!”

ร่างของเซียวอวี้หยุดนิ่ง

นางสนมเจียรีบพูดต่อ

“นางฝากให้หม่อมฉันบอกกับฝ่าบาทว่า ‘ปรารถนาติดตามดั่งเงาท่าน’... ”

เซียวอวี้มองลึกลงไปในดวงตาของคนตรงหน้า

ในเวลาเดียวกัน

เฟิ่งจิ่วเหยียนมองคนสองคนบนปะรำพิธีจากที่ไกล ๆ แววตานิ่งเย็นคิดคำนวณ

เหลียนซวงเตือนนางด้วยความกังวล

“พระนาง ทอดพระเนตรทางนั้นสิเพคะ”

ทางฝั่งตะวันตกของสนามม้าหลวง

ใต้ร่มเงาของต้นไม้ กุ้ยเฟยยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปบนปะรำพิธีตาไม่กระพริบ...

----------------------------------------------

[1] สำนวนที่หมายถึงความไม่เข้ากัน ขัดแย้งในตัว ไม่กลมกลืน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย