นานวันเข้าความรู้สึกนี้ก็ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้อำนวยการเป็นอย่างมาก ความรังเกียจตัวเองและหวาดกลัวว่าจะถูกรู้ความลับสร้างความสับสนในจิตใจ เธอเริ่มนอนไม่หลับ เริ่มหวาดระแวง เริ่มรู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตาม เริ่มรู้สึกว่าคนอื่นมองมาด้วยสายตาแปลกๆ
ผู้อำนวยการรู้ว่าตัวเองควรไปพบจิตแพทย์ แต่การเข้าแผนกประสาทสำหรับคนที่มีความคิดแบบเธอนั้นมันเท่ากับบอกให้โลกรู้ว่าเธอเป็น ‘โรคประสาท’ ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอเคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับตัวเองแล้วต่อไปยังจะมีหน้าอยู่ในสังคมได้อย่างไร?
ถึงเมืองหลินจะไม่ได้ใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้จักกัน ผู้อำนวยการกลัวว่าถ้าเธอไปขอเข้าพบหมอประสาทแล้วจะถูกคนรู้เข้า ครั้นแล้วจึงใช้วิธีอ้อมๆ ไปหาหมอในเมืองเล็กๆที่ตัวเองคิดว่า ‘ปลอดภัย’ แทน
ใครจะไปคิดว่าขนาดมาเมืองอื่นก็ยังเจอคนรู้จัก…แน่นอนว่าผู้อำนวยการยังจำเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ เหตุผลหนึ่งก็เพราะผู้อำนวยการไม่ได้ใส่แว่นสายตาทำให้มองเห็นไม่ชัด อีกผลหนึ่งก็คือกำลังวิตกกังวลอยู่เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น
“ก็ได้ค่ะ คุณไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ช่วยทำแบบทดสอบความรุนแรงที่คุณได้รับนี่ด้วยค่ะ ทำเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันจะพูดถึงอาการคุณให้ฟัง”
เสี่ยวเชี่ยนค้นลิ้นชักก็พบแบบทดสอบที่ถูกพิมพ์ออกมาไว้แล้ว เนื่องจากเอกสารมีมากเธอจึงต้องใช้เวลาค้นอยู่สักพัก
“คุณเรียนจบที่ไหนมา รักษาคนมานานเท่าไรแล้ว ระดับการศึกษาสูงสุดคืออะไร…คุณรักษาคนเป็นจริงเหรอ?”
คนไข้ที่น่ารำคาญไม่ทางน่ารักขึ้นเพราะป่วย ดูอย่างผู้อำนวยการนี่ก็รู้
เสี่ยวเชี่ยนขี้เกียจตอบคำถามข้อสงสัยเรื่องความสามารถของเธอ นี่เป็นงานจิตสาธารณะ ถ้าเป็นงานส่วนตัวที่เธอรับเองแล้วเจอคนไข้แบบนี้ล่ะก็ เสี่ยวเชี่ยนจะไม่พูดพล่ามอะไรทั้งนั้นขึ้นราคาทันที
“ทำแบบทดสอบก่อนค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนยื่นเอกสารให้ ผู้อำนวยการรับเอามาทำ
ผ่านไปสักพัก ผู้อำนวยการก็กรอกเสร็จแล้วยื่นให้เสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนจึงเอามาเปิดดูแล้วก็วางลง
“จิตใจของคนเราไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่ตัวเองคิด การตอบสนองทางเพศอยู่เหนือการควบคุมของสมอง ดังนั้นคุณต้องเลิกตำหนิตัวเองก่อน แล้วเปิดใจกับฉัน ฉันถึงจะกำหนดขั้นตอนการรักษากับคุณได้”
“ฉันไม่เข้าใจคุณหมายถึงอะไร…”
“ในบรรดาคดีที่ผู้หญิงถูกข่มขืน การที่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในเรื่องอย่างว่านั้นเป็นเรื่องปกติมาก อารมณ์ร่วมที่เกิดขึ้นอยู่เหนือการควบคุมของสมอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายไม่มีความผิด ถ้าคุณไม่บอกตัวเองแบบนี้ และปฏิเสธที่จะพูดความจริงกับจิตแพทย์ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่มีทางเดินออกมาจากอดีตที่ฝังใจได้หรอกค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนชอบประโยคหนึ่งที่อยู่ในนิยาย ถูกหมากัดหนึ่งครั้งรู้สึกเจ็บ จะคิดว่าตัวเองเป็นคนอ่อนแอแล้วหรือ?
ความเจ็บปวดกับความสุข ความรู้สึกสองอย่างนี้บางครั้งก็อยู่เหนือการควบคุมของสมอง มีเคสที่ผู้หญิงถูกล่วงละเมิดที่ไม่ยอมแจ้งความมากถึง90% นอกจากสาเหตุที่ว่ากลัวถูกคนวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ยังมีผู้หญิงที่แต่งงานแล้วส่วนหนึ่งเป็นแบบเดียวกับผู้อำนวยการที่รู้สึกละอายเพราะตัวเองดันมีความสุขกับเรื่องนี้ ก็เลยไม่ยอมแจ้งความ ในส่วนลึกจิตใจของเหยื่อไม่ยอมให้อภัยตัวเองง่ายๆ
ความคิดที่ขัดต่อหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าต้องมีเซ็กส์ด้วยความรัก ถ้าไม่รักก็ไม่ควรเกิดความรู้สึก ความคิดแบบนี้ขัดต่อกลไกทางร่างกายของมนุษย์ และได้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมีอาการทางจิต คนอย่างผู้อำนวยการที่มีความคิดแบบคนหัวโบราณไม่เพียงแต่จะปิดกั้นความคิดคนอื่น ยังปิดกั้นตัวเองด้วย
เสี่ยวเชี่ยนพูดมาถึงขนาดนี้ผู้อำนวยการก็ยังไม่ยอมพูดความจริง
“ฉันไม่เข้าใจคุณพูดเรื่องอะไร”
เสี่ยวเชี่ยนปิดแฟ้มประวัติ เงยหน้ามอง ถึงเวลาต้องใช้ไม้เด็ดแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนใช้นิ้วเคาะแบบทดสอบที่ผู้อำนวยการเพิ่งทำไปเบาๆ “จากผลแบบทดสอบโรคPTSDหรือโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงนี้แสดงให้เห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมาคุณถูกทำร้ายจากคนต่างเพศ ทำให้ตอนนี้คุณทำตัวแยกออกจากสังคม มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้า ถึงขั้นที่ต้องได้รับการรักษาแล้ว ถ้าคุณยังใช้วิธีหลบเลี่ยง ชีวิตประจำวันของคุณและการทำงานก็จะได้รับผลกระทบ”
“ข่มขู่ฉันเหรอ”
“ก็ได้ค่ะ งั้นฉันจะพูดตามตรง แว่นกรอบดำของคุณอยู่ที่บ้านฉัน”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย