“แต่เล็กจนโตคุณหนูเคยลำบากที่ไหนกัน? นึกถึงสิ่งที่พ่อคุณหนูให้กินให้ใช้สิคะ มีอย่างไหนบ้างที่ไม่ดีกว่าคนในวัยเดียวกัน? ถ้ากิจการครอบครัวล้มลง แล้วเด็กที่เคยถูกประคบประหงมมาอย่างดีแบบคุณหนูจะทำยังไงคะ…แค่คิดน้าก็เป็นห่วงแทนแล้วค่ะ”
น้าหวางพูดจบก็เอาผ้าขนหนูเช็ดน้ำตาที่หางตาพร้อมแอบมองท่าทีของสืออวี้
พอเห็นสืออวี้ตาแดงๆท่าทางเหมือนรับฟังทุกอย่าง น้าหวางก็วางผ้าขนหนูแล้วพูดต่อ
“ต่อให้ไม่ทำเพื่อครอบครัว คุณหนูก็ต้องคิดเผื่อตัวเองนะคะ เถ้าแก่คนนี้รวยไม่ธรรมดา คุณหนูถูกเลี้ยงมาอย่างริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แล้วจะทนความลำบากได้ยังไง? อีกอย่าง เพื่อนคนนั้นของคุณหนูก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว”
“คุณน้ารู้ได้ยังไงคะ?”
“เขาเก็บค่ารักษาแพงขนาดนั้น คนแบบนี้สมควรเป็นหมอเหรอ? คนอย่างเขาน่ะออกไปมีแต่จะเอาเปรียบคนอื่น ถ้าคุณหนูช่วยหาจุดอ่อนของเขาได้ก็เท่ากับได้ทำบุญกับคนนับพันนับหมื่นเลยนะคะ!”
“แต่ถ้าหนูคนเดียวออกไปยืนชี้หน้าบอกว่าเขาเก็บค่ารักษาแพงคงไม่มีคนเชื่อมั้งคะ?”
พอได้ยินสืออวี้พูดแบบนั้น น้าหวางก็รู้สึกว่ามีโอกาสแล้ว
“จะพูดอย่างเดียวไม่ได้ เขามีสมุดโน้ตประจำตัวด้วยใช่ไหมล่ะคะ? เขาชอบจดโน้ตเอาไว้ไม่ใช่เหรอ? คุณหนูก็ขโมยสมุดเล่มนั้นมา แล้วทางนั้นก็จะสืบจากเคสคนไข้ที่อยู่ในนั้น ยังไงก็ต้องเจอคนไข้ที่อยากทวงคืนความยุติธรรมบ้างแหละค่ะ”
“แต่เราสนิทกันมาตั้งสี่ปี หนู หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“ไอ๊หยาเด็กโง่ นี่มันเวลาไหนแล้วยังคิดถึงเรื่องนี้อีก? ตอนคุณหนูไปขอร้องเขา เขาเคยนึกถึงความสัมพันธ์สี่ปีไหมล่ะคะ? เขายังไม่คิดจะช่วยคุณหนูเลย แล้วจะไปแคร์เขาทำไมกัน?”
น้าหวางเห็นสืออวี้เริ่มคล้อยตาม สายตาดูลังเล สุดท้ายน้าหวางจึงพูดแบบนี้ออกมา
“อย่าเชื่อใครทั้งนั้น มิตรภาพเจือจางได้หลังจากเรียนจบ ไม่เชื่อลองไปขอยืมเงินเพื่อนสนิททั้งสองคนก็รู้แล้วค่ะ สองคนนั้นหรอกถึงจะอยากเป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไงคุณหนูก็เป็นแค่คนนอก!”
คำพูดนี้เดิมก็รบกวนอยู่ในสมองสืออวี้อยู่แล้ว อยู่ๆก็มาได้ยินจากปากคนอื่น สายตาของสืออวี้ก็ล่องลอยยิ่งกว่าเดิม ปากพูดพึมพำเหมือนหุ่นยนต์
“หนูเป็นคนนอก”
“ใช่ค่ะ คุณหนูเป็นคนนอก เป็นแค่คนนอก ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะไปแคร์ทำไมคะ? ต้องคิดให้ดีๆนะคะเพื่อตัวคุณหนูเอง”
“ไม่ต้องคิดแล้วค่ะ หนูรับปาก พูดมาเลยว่าหนูต้องทำไงบ้าง”
บทสนทนาของทั้งสองคนถูกส่งผ่านเครื่องดักฟังไปหาสองคนที่อยู่อีกด้านอย่างชัดเจน มู่ฮวาหลีที่อยู่ในชุดขาวแบบราชวงศ์ถังกำลังเล่นสร้อยข้อมือแสนรัก เขาหลับตาส่วนมือก็หมุนลูกประคำเล่น
คนที่อยู่ข้างๆเขายื่นเช็คให้ด้วยสายตาที่เลื่อมใส
“หมอมู่ คุณนี่เก่งจริงๆนะครับ ล้างสมองคนได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้”
ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ใครจะไปเชื่อว่าจิตรู้สำนึกของคนจะถูกเปลี่ยนได้จริงๆ สืออวี้ถูกจับตาดูตั้งแต่เข้ามาในบ้านน้าหวาง คนๆนี้รู้สึกเลื่อมใสมาก
“สะกดจิต ไม่ใช่ล้างสมอง เงินจะปล่อยได้หรือยัง?”
“ครับๆๆ! เชิญรับไปครับ—แต่ว่าหมอมู่ครับ ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?”
“หืม?”
“การสะกดจิตนี่ทำให้ทุกคนเชื่อฟังได้หมดเลยเหรอครับ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ยังจะมานั่งหาเงินทำไมล่ะครับ พวกคุณไปสะกดจิตคนให้หมดแล้วอยากได้เงินเท่าไรก็ได้ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
ถึงคนที่ให้เงินจะเป็นแค่ลูกน้องที่ถูกสั่งมาอีกที แต่ก็เป็นคนโลภมาก ถ้าเชิญหมอประสาทที่เก่งระดับนี้ไปสะกดจิตอภิมหาเศรษฐี แบบนั้นคงรวยไม่รู้เรื่องไปแล้วหรือเปล่า?
“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ ข้อแรก วิชาสะกดจิตของผมเป็นวิชาลับเฉพาะของสำนักผม ไม่ใช่ว่าใครก็เรียนได้ ข้อสอง ต่อให้เป็นคนอย่างพวกผมก็เปลี่ยนจิตรู้สำนึกของใครไม่ได้”
“แต่เห็นๆอยู่ว่าเขาทำตามที่คุณบอก ดูสิครับ พอท่องคำพูดตามที่คุณบอกไป เขาก็ดวงตามองตรง พูดอะไรก็ทำแบบนั้น มหัศจรรย์มาก!”
“ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่กำหนดเท่านั้นถึงจะได้ผลขนาดนี้ อันดับแรกเลยครอบครัวเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมองของเขาได้รับความสะเทือนใจจนทำให้เกิดความว่างเปล่า จึงค่อนข้างที่จะถูกชักจูงได้ง่าย ต่อมาสภาพร่างกายของเขาที่เอื้อต่อการถูกสะกดจิต คนทั่วไปไม่มีทางถูกสะกดจิตจนเป็นแบบเขา การแทรกซึมเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขาในช่วงที่สมองว่างเปล่าจะเป็นพลังมหาศาล”
“มหาศาล?”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย