ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 152

สำหรับโหลวซิ่นแล้วคำพูดของนางเปรียบเหมือนราชโองการ เมื่อได้ยินก็ตอบรับ และจูงท่าเสวี่ยเดินจากไป โหลชีมองไปที่มู่หลานที่ถูกลากจนล้มลงไปที่พื้น และพูดเบาๆ "ไปนอนซะ"

มู่หลานค่อยๆหลับตาลง โดยไม่ดิ้นรน

เฉินซ่าก็ลงจากรถเช่นกัน แค่เหลือบมองนาง แล้วหันไปหาเยว่ เพราะเขาจะไม่สนใจเรื่องของมู่หลานอีกต่อไป จะไม่ไปก้าวก่ายเด็ดขาด ปล่อยให้นางไปทรมานก็พอ

เดิมทีโหลชีอยากจะเร่งรีบเดินทาง ดังนั้นจึงยังไม่ทำอะไรมู่หลาน แต่เมื่อกี้นี้ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆนางก็รู้สึกว่า ยังไงการทดลองของนางก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว จะมาเสียเวลาในการเดินทางทำไม?

บังเอิญก่อนหน้านี้นางได้คิดสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะแก้ไข และเวลานี้ก็เลยลองดู

เนื่องจากไม่สามารถกรีดใบหน้ามู่หลาน ดังนั้นนางจึงคิดหาวิธีอื่น วิชาลับในการเปลี่ยนใบหน้า มันช่างอัศจรรย์จริงๆ ถ้านางสามารถเรียนรู้วิชาลับนี้และกลับไปสู่ยุคสมัยใหม่ วงการศัลยกรรมความงามในประเทศเกาหลีจะไม่มีธุรกิจทำแน่นอน

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาใบหน้าของมู่หลานถูกปิดไว้ตลอด เหลือเพียงดวงตาสองข้าง ไม่เฉพาะนาง ณ ตอนนี้ในที่นี่ไม่มีใครที่อยากเห็นใบหน้าของนางซึ่งเหมือนกับโหลชีอย่างกับแกะ ใบหน้านี้อยู่บนร่างของโหลชี พวกเขารู้สึกว่ามันสวยงามและน่ามองมาก มองยังไงก็รู้สึกสบายใจ แต่เมื่อมันไปอยู่ในร่างของคนอื่น พวกเขามองยังไงก็รู้สึกน่าเบื่อ เกรงว่าตัวเองจะอดไม่ได้จนอยากกรีดหน้าให้เป็นรอย จึงต้องปิดหน้าเอาไว้

โหลชีดึงผ้าเช็ดหน้าออก หยิบขวดขึ้นมา เปิดฝาออก แล้วตัวเองก็ยกขึ้นมาดม จากนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ ยาชนิดนี้มีกลิ่นคาวมากเช่นเดียวกับกลิ่นปลาทะเลจำนวนมากที่จับมาจากทะเลลึกและใช้เวลาตากทั้งวัน

นางเอายานั้นป้ายบนใบหน้าของมู่หลาน รวมทั้งหลังหู คอ และทาทุกจุดอย่างละเอียด จากนั้นก็โยนขวดทิ้งอย่างขยะแขยง แล้วหยิบเข็มออกมาหลายอัน แล้วฝังเข็มลงบริเวณหลังหู หน้าผาก บนหัว ทำมุทรา แล้วกดลงบนหน้าผากของนาง

ดูเหมือนว่าจะมีชั้นสีดำอ่อนๆ เหมือนกับหน้ากากล่องหน ที่ปิดหน้ามู่หลาน แล้วค่อยๆหายเข้าไปบนใบหน้าของนาง

ดูเหมือนว่าจะสำเร็จ?

โหลชีดีดนิ้ว มู่หลานก็ตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งนี้แค่แก้วิชาการสะกดจิตระดับต้นเท่านั้น และที่ถูกสะกดจิตระดับลึกนั้นก็ยังไม่ได้แก้ ดังนั้นมู่หลานจึงลุกขึ้น และทำตามคำสั่งของโหลชีอีกครั้ง และไปยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง

ในเวลานี้ โหลชีรู้สึกว่าท้องอืดจนทนไม่ไหวแล้ว ตรงนี้มีผู้ชายกลุ่มหนึ่ง เพื่อความสะดวกนางจะต้องวิ่งหนีไปไกล ดังนั้นจึงมุดเข้าไปในป่าไผ่

เฉินซ่าเหลือบมองนาง และพูดเบาๆว่า "พักผ่อนตรงนี้"

ถ้าจะตั้งกระโจมพวกเขาจะต้องรีบแบ่งงานทันที บางคนทำความสะอาดพื้นที่ให้ว่าง เอาหินที่คมออกหรือถอนหญ้าที่สูงและรกออก บางคนไปเก็บฟืนแห้งเพื่อเตรียมก่อไฟ บางคนไปหาแหล่งน้ำ และบางคนก็มองไปรอบๆเพื่อดูว่ามีอันตรายหรือไม่ แต่ตอนนี้เฉินซ่าพูดว่าพักผ่อนตรงนี้ ทุกคนเลยไม่กล้าขยับ

รู้ว่าโหลชีเข้าไปในป่า ทุกคนก็รู้เป็นเพราะฝ่าบาทกลัวว่าถ้าพวกเขาเดินไปอาจไม่ตั้งใจเล็งเห็นโหลชี แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะไปกล้าหรือ ถึงพวกเขาใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้า

เยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าตอนนี้นายท่านของตัวเองสนใจโหลชีมากเกินไป ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ใส่ใจตลอด

เฉินซ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเข้าไปในป่าไผ่ มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่โหลชีเข้าไป

โหลชีเข้าไปในป่าไผ่ และรู้สึกว่าสัมผัสหูของนางดีเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี หลังจากวิ่งไปไกลแล้วนางยังคงได้ยินเสียงของเฉินซ่า จึงรีบวิ่งเข้าไปข้างในอีก

นางทำธุระส่วนตัวหลังกอไผ่ใหญ่เสร็จ เพราะนิสัยความสะอาดส่วนตัว นางต้องการไปหาน้ำมาล้างมือ แค่ยืนขึ้นและเดินไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นก็สัมผัสถึงไอน้ำ ดวงตานางเปล่งประกาย รู้สึกว่าคิดอะไรก็ได้อย่างนั้น พอดีมาก

นางเดินตามความรู้สึกไปในทิศทางของไอน้ำ และเท้าก็เหยียบบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยใบไผ่ ทำให้เกิดเสียงซู้ดซู้ด

ในเวลานี้ นางไม่ได้ยินเสียงของเฉินซ่าที่อยู่ฝั่งโน่นแล้ว หันกลับไปมองกอไผ่ที่หนาทึบ เงาไม้ไผ่ที่แกว่งไปมา มองไม่เห็นอะไรเลย พระอาทิตย์ตกดินถึงครึ่งเขาแล้ว มีเพียงท้องฟ้าที่เป็นสีแดง ท้องฟ้าเริ่มมืด อยู่ในป่าไผ่ที่หนาแน่นยิ่งรู้สึกวังเวงมืดมน

ในพื้นที่โล่งด้านนอก ดวงตาที่เฉื่อยชาของมู่หลานหลังจากถูกสะกดจิตตอนนี้ค่อยๆเปลี่ยนไป จากนั้น นางมองไปที่กอไผ่ ในดวงตาเริ่มมีสีแดงขึ้นทีละน้อย เพราะว่ามีความเชื่อมั่นในความสามารถของโหลชี เลยไม่มีใครสนใจนาง เหมือนว่ามู่หลานจะได้ยินเสียงปลุกเรียก และเดินไปในกอไผ่ทีละก้าว

แม้ว่าจะมีไอน้ำ แต่โหลชีได้เดินไประยะหนึ่งแล้วยังออกจากป่าไผ่ไม่ได้ และยังมองไม่เห็นแหล่งน้ำ นางจึงหยุดเดิน หากแหล่งน้ำยังห่างไกล นางคงต้องออกไปก่อน เกรงว่าเฉินซ่าจะกังวลที่นางเข้ามานานแล้วคิดจะเข้ามาตามหา ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็มีเสียงที่เลือนรางแว่วเข้ามาในหูของนาง และมีคนเรียกชื่อนาง

"โหลชี......"

"โหลชี......"

"โหลชี......"

เสียงนั้นฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงผู้ชายหรือผู้หญิง แฝงด้วยความเศร้าสร้อย ทำให้โหลชีหดหู่ใจ ดวงตาแดงก่ำ และมีน้ำตาไหลออกมา นางเดินไปข้างหน้า ทีละก้าว ถ้ามีใครมาเห็นก็จะสังเกตได้ว่า นางเดินเช่นนี้ มันคล้ายกับมู่หลานมาก และในขณะนี้มู่หลานก็เดินเข้ามาเช่นกัน แต่ไปคนละทิศทาง

เดินไปได้ซักพักก็ออกจากป่าไผ่ เทือกเขาเชื่อมกันเป็นแนว มีช่องว่างระหว่างภูเขากับป่าไผ่ เถาวัลย์งอกขึ้นทั่วพื้นดิน ดูเหมือนงูตัวเล็กๆนับไม่ถ้วนบิดตัวไปมาตรงใบไม้

นอกจากนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่มีผู้คน และไม่มีน้ำ

โหลชีหยุดเดินอีกครั้ง นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่สับสนอยู่ในภวังค์จับต้นชนปลายไม่ถูก ราวกับว่าก่อนหน้านี้มีสมองที่ฉลาดหลักแหลมแต่จู่ๆก็คิดอะไรไม่ออก

"โหลชี......"

"โหลชี......"

"โหลชี......"

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับอยู่ข้างหน้า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ