ห้องนอนของสาวใช้คนสนิท ก็อยู่ข้างๆ กับห้องนอนของฝ่าบาท!
เพราะฝ่าบาทท่านหนึ่งพูดว่า ที่นี่มันใกล้ และพิษของเขายังไม่หายดี ไม่มีใครบอกได้ว่าก่อนวันที่สิบห้าจะกำเริบหรือไม่ ยิ่งนางอยู่ใกล้ก็ยิ่งดี หาคน ให้รีบไปเอาเตียงใหญ่มาจากห้องเก็บของ แล้วปูที่นอนใหม่ และอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ รอเวลารุ่งสางค่อยนำมาเพิ่ม
ยามที่ช่วยย้ายของใช้ และสาวใช้ที่ทำความสะอาดมองดูฝ่าบาทที่ยืนเฝ้าดูอยู่ตลอด ไม่กล้าพูดอะไร
วันแรกของสาวใช้คนสนิท
โหลชีแสดงออกว่านางกำลังจะเป็นบ้า!
ก่อนรุ่งสาง นางถูกคนลากลงจากเตียง เพราะทุกเช้าฝ่าบาทท่านหนึ่งต้องตื่นมาฝึกวิทยายุทธ นางในฐานะที่เป็นสาวใช้คนสนิท ต้องอยู่ข้างกายตลอด!
มาอยู่เป็นเพื่อนฝึกฝนก็ได้ ยังไงก็ตามนางไม่ใช่คนที่ชอบนอนตื่นสาย ใช้เวลาที่เขาฝึกฝนบินขึ้นบินลงบินไปบินมา นางก็เลือกสถานที่ตัวเองชอบสำหรับฝึกสมาธิการหายใจเข้าออก
อันนี้สามารถทนได้ แต่เรื่องต่อจากนี้คงทนไม่ได้
ทำไมเห็นได้ชัดว่ามีสาวใช้จากตำหนักสองมาปรนนิบัติรับใช้อาบน้ำล้างหน้าให้ท่านฝ่าบาท แต่ท่านฝ่าบาทกลับบอกว่าพวกนางซุ่มซ่าม จึงต้องการสาวใช้ที่สนิทอย่างนางมารับใช้?
นางเคยรับใช้ผู้อื่นอาบน้ำล้างหน้าซะเมื่อไหร่?
โอ้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นักพรตเลวเคยเป็นไข้สูงไม่ยอมลดโดยไร้เหตุผล นางคอยดูแลไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า?
แต่ว่าครั้งนั้นนักพรตเลวป่วย และตอนนี้ท่านฝ่าบาทท่านนี้ยังหนุ่มและแข็งแรง มือเท้าไม่ได้พิการ ร่างกายเต็มไปด้วยพลังงาน และดูท่าทางไม่เหมือนคนที่โดนยาพิษเลย!
แม่งเอ้ย
นางโยนผ้าเช็ดหน้าเปียกไปที่ใบหน้าของเขา ปิดใบหน้าอันหล่อเหล่าของเขาพอดี ทำให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ตกใจกลัว โดยคิดว่าโหลชี พึ่งมาเป็นสาวใช้ที่ใกล้ชิดวันแรกก็อาจต้องมาจบชีวิตลง ใครจะไปคิดว่าฝ่าบาทจะหยิบผ้าเช็ดหน้านั้นแล้วค่อยๆ เช็ดหน้า แล้วโยนลงไปในกะลังมัง สาวใช้ที่ไหนจะกล้าอวดดีเหมือนโหลชี? พวกนางจับกะลังมังอย่างตัวสั่นแล้วรีบถอยออกไป
ที่นี่ไม่ใช่แคว้น ไม่ใช่ราชวงศ์ แต่เป็นดินแดน เดิมทีฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าเหมือนจักรพรรดิองค์อื่นเพื่อไปประชุม แต่เฉินซ่าก็มีเวลาทำงานของเขา หลังอาหารเช้าและจะประชุมกับลูกน้อง
ขณะที่รับประทานอาหารเช้า เดิมทีนางคิดว่าต้องยืนดูเขากินข้าวจนเสร็จเหมือนกับสาวใช้ทั่วไป แล้วตัวเองค่อยไปกิน เพราะยังไงเช้าตรู่ของวันนี้ องครักษ์เสวี่ยได้พาคนที่ทำงานอยู่ในตำหนักสามมีสาวใช้หกคนยายรับใช้สองคนและคนดูแลสวนดอกไม้สามคนมา คนเหล่านี้ในอนาคตจะให้นางเป็นคนดูแล อาหารสามมื้อของนางจะมีระดับของสาวใช้สนิทตามกฎ ว่ากันว่าจะมีอาหารมากกว่าคนทั่วไปสองอย่าง และยังมีของหวานเพิ่มขึ้นหนึ่งอย่าง
แต่ว่าฝ่าบาทท่านหนึ่งทานเสร็จจะไปที่ห้องทำงาน กลับดึงนางไปด้วย
"ข้ายังไม่ได้ทานข้าวเช้าเลย!" โหลชีดิ้นรน
นางชอบกินของหวาน อยู่ข้างนอกไม่ได้กินมาหลายวันแล้ว ในมื้อเช้าแค่รอของหวานชนิดนี้ น้ำลายนางก็ไหลออกมา หรือไม่อยากให้นางทานรึ?
"เวลาอาหารเช้าผ่านไปแล้ว พรุ่งนี้ต้องทานให้เร็วกว่านี้" เฉินซ่าไม่รู้สึกอ่อนไหวใดๆ และดึงนางออกไปทันที
หมายความว่า เวลาที่เขากินตอนนี้เป็นเวลาอาหารเช้า? แล้วทำไมไม่บอกนางก่อนหน้านี้ บอกนางก่อนหน้านี้ นางจะไม่รอเหมือนสาวใช้คนอื่นๆ อย่างแน่นอน จะต้องรีบไปกินก่อนแน่นอน!
โหลชีรู้สึกโกรธจัด
มีคนนั่งอยู่ในห้องประชุมประมาณสิบกว่าคน สามองครักษ์ก็นั่งอยู่ เมื่อองครักษ์เสวี่ยเห็นนางเดินเข้ามาพร้อมกับเฉินซ่า โมโหและปวดใจสุดๆ ที่นี่ นางเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวมาตลอด และทุกคนก็ยอมนางและเอาใจนางมาตลอด และต่อไปนางจะไม่ใช่เพียงคนเดียวแล้ว?"
"นายท่าน สาวใช้เข้ามาในห้องประชุมได้ด้วยหรือ?"
"ใช่ ข้าก็คิดว่ามันไม่ถูกต้อง ข้าจะออกไปข้างนอก" หลังจากที่โหลชีพูดจบก็จะหันหลังและจากไป เฉินซ่ายกมือขึ้น พิชิตวันเคลื่อนผ่านอากาศ ทะลุผ่านหูของนาง แล้วพุ่งไปทิ่มที่ประตู มีพลังมาก หลังจากที่ทิ่มเข้าไปแล้ว มือที่จับด้ามยังคงสั่นอยู่
"ข้าได้พูดแล้วหรือ ว่าให้เจ้าออกไป?"
โหลชียืนอยู่ที่เดิม โมโหสุดๆ เจ้าบ้าเอ้ย เจ้าอาวุธทำลายล้างที่สมควรตายอารมณ์แปรปรวนอีกแล้วกำลังจะทำให้นางบ้าตาย ช่างมันเถอะ อยู่ต่อหน้าลูกน้องของเขา นางไว้หน้าเขาแล้วกัน!
โหลชีหันกลับมา และถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง "ฝ่าบาท ข้าจะนั่งตรงไหน?"
"มายืนข้างหลังข้า"
ยืน! แม่งเอ้ย! ตั้งแต่เช้านางก็ถูกเขาลากขึ้นมา เพื่อไปฝึกวิทยายุทธครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ยืนดูเขาทานอาหารเช้าเป็นเวลานาน ตัวเองหิวมากจนท้องร้อง และตอนนี้ยังไม่ยอมให้นางนั่ง และนางยังต้องยืนอยู่ข้างเขา!
โหลชีก้าวเท้าเดินอย่างไม่พอใจ เดินไปถึงข้างหลังเขา ยืนนิ่ง ลืมตาขึ้นและเห็นว่าทุกคนในห้องต่างนิ่งอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืนขึ้น ทักทายนางพร้อมกัน แล้วพูดว่า "ขอคำนับแม่นางโหลชี"
เฮ้ย?
นี่มันเรื่องอะไร?
เกิดอะไรขึ้นโหลชียังไม่เข้าใจว่า และไม่มีใครอธิบายให้นางฟัง แต่นางมองเห็นอย่างชัดเจนกับสายตาที่องครักษ์เสวี่ยจ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและโมโห นางหรี่ตาลงเล็กน้อย เห็นลวดลายสักสีเขียวอยู่ใต้คอเสื้อขององครักษ์เสวี่ย ชั่วขณะก็หัวเราะทันที
องครักษ์เสวี่ยยิ่งรู้สึกหงุดหงิดกับการหัวเราะของนาง และทันใดนั้นก็ยืนขึ้นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ชี้ไปที่โหลชีและพูดว่า "เจ้าหัวเราะอะไร?"
"ข้าไม่ได้หัวเราะอะไร"
"เห็นได้ชัดว่าเจ้าหัวเราะ เจ้าพูดมา เจ้ากำลังหัวเราะเรื่องอะไรอยู่? เจ้ากำลังหัวเราะเยาะเย้ยข้ารึ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ