ตอน บทที่ 243 มาขอร้องให้ช่วยถึงที่ จาก ใต้ร่มยาใจ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 243 มาขอร้องให้ช่วยถึงที่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ ใต้ร่มยาใจ ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ครั้งนั้นนับแต่พวกเขาออกจากเมืองลั่วหยาง เดิมคิดว่าตระกูลหานแห่งลั่วหยางจะตายใจแล้ว กลับไม่นึกเลยว่าเขาใช้เวลาสามวันปล่อยข่าวออกมา และยังแอบรวบรวมคนเกือบร้อยคน บางคนต้องการหญ้าเทียนจี บางคนต้องการเงินของนาง บางคนต้องการจิ้งจอกม่วง และยังมีบางคนต้องการท่าเสวี่ยของนาง
การที่ตัวนางไม่ได้นึกถึงลาดสือหลี่ครั้งนั้นเลยเพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่นางฆ่าคนมากมายขนาดนั้น ถึงจะไม่ได้ฆ่าทั้งหมด แต่คนที่ตายด้วยน้ำมือนางอย่างน้อยก็มีหลายสิบคน
สีหน้าแววตาละโมบของคนพวกนั้นทำให้นางจะอาเจียน อยากได้ของฟรีๆไม่เปลืองแรง แล้วยังจะฆ่าคนปิดปาก บางคนยิ่งละโมบไม่สิ้นสุด อยากจับตัวนางไว้ ใช้วิธีทรมานต่างๆนานาบังคับถามว่าได้หญ้าเทียนจีจากที่ไหน
ตอนนั้นพวกเขาบีบคั้นจนนิสัยอำมหิตเลือดเย็นในตัวนางออกมา ที่ลาดสือหลี่ ใต้อาทิตย์อัสดง นางประหนึ่งเทพแห่งความตายมาประหัตประหารชีวิตแล้วชีวิตเล่า
คนที่เหลือพวกนั้นมีทั้งบาดเจ็บและเป็นบ้า ไม่มีใครสามารถไล่ล่านางและละโมบของของนางได้อีก
นางรู้ว่าเรื่องนี้ต้องแพร่ออกไป นางไม่ถือสาว่าใต้หล้าจะลือเรื่องนางยังไง ฆ่าล้าง ชั่วร้าย อำมหิตได้หมด
แต่ตอนนี้นางรู้สึกว่า มีแค่ชื่อเสียงโหดร้ายนี่ยังไม่พอ อย่างน้อยนางต้องการฝีมืออะไรมาสกัดคนอื่นอีก
ดังนั้นโหลชีตอนนี้กำลังคิดถึงเรื่องฝีมือ
ถ้าเป็นในยุคปัจจุบัน นางคนเดียวยังพอได้ หลบซ่อนตัวได้ และยังเป็นสังคมกฎหมาย ต่อให้คนอื่นจะลอบฆ่านางก็ต้องลอบทำ แต่ในยุคโบราณไม่เหมือนกัน ชาวยุทธ์เดินกันให้ว่อนบนท้องถนนฆ่ากันไปฆ่ากันมา
จะอยู่คนเดียวตลอดมันก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นนางยังรู้สึกว่าตัวเองดูจะใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างผู้ถูกกระทำอยู่สักหน่อย
"เฉิงสิบ โหลวซิ่น พวกเจ้าว่า ตอนนี้ชาวยุทธ์กลัวอำนาจใดบ้าง?"
อยู่ๆดีนางก็เปิดปากพูด แต่มันทำให้เฉิงสิบและโหลวซิ่นถอนหายใจโล่งอก
เฉิงสิบครุ่นคิดก่อนบอก "ราชวงศ์ คนธรรมดาหรือชาวยุทธ์ต้องไม่กล้าปะทะกับราชวงศ์ตรงๆแน่"
โหลชีพยักหน้า จุดนี้เข้าใจได้ไม่ยาก ผู้มีอำนาจ นับแต่โบราณย่อมเป็นอะไรที่คนธรรมดาไม่กล้าหือด้วยอยู่แล้ว
แต่นางไม่อยากเกี่ยวข้องกับราชวงศ์นี่สิ? โหลวซิ่นยังคิดอยู่ มนตรีที่เดินตามมาข้างหลังพลันขึ้นหน้าหลายก้าวพลางว่า "คุณชาย ข้าน้อยขอพูดหน่อยได้หรือไม่?"
"ว่ามา"
"นอกจากราชวงศ์แล้ว ก็ต้องเป็นพวกตระกูลใหญ่ต่างๆ มีเงินมีอำนาจ หรือพวกสำนักใหญ่ๆ วิทยายุทธ์แก่กล้า มีลูกศิษย์มากมาย อย่างเช่นสามเขาสามสำนักในบัดนี้"
สามเขาสามสำนักที่มนตรีพูด แน่นอนว่าหมายถึงเขาเวิ่นเทียน เขาเฉินอวิ๋น เขาปี้เซียน ใช่ คนธรรมดาไม่มีทางกล้าหือกับคนที่ออกมาจากสามเขาสามสำนัก
แต่ความยำเกรงและฝีมือที่ต้องอาศัยเวลายาวนานสะสมขึ้นมาของสามเขาสามสำนักนี่ นางทำไม่ได้ในเวลาอันสั้นแน่
นางหันมองมนตรี อย่างรู้ว่าเขายังพูดไม่จบ
"คุณชาย นอกจากพวกนี้แล้ว ตอนนี้ยังมีบางสถานที่ที่ไม่มีใครกล้าหือด้วย ที่ข้าน้อยพอรู้จักมีสองที่คือ ตำหนักลากวิญญาณและลัทธิสิ้นโลกีย์"
ลัทธิสิ้นโลกีย์? "ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้จักลัทธิสิ้นโลกีย์ด้วย" โหลชีหัวเราะบอก "ลัทธิสิ้นโลกีย์ไม่ต้องพูดถึงดอก พวกเขาไม่เป็นประกายเก่งกาจมากยิ่งกว่าสามเขาสามสำนักรึ? เจ้าลองพูดถึงตำหนักลากวิญญาณสิ"
ตำหนักลากวิญญาณนี่นางพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
"ตำหนักลากวิญญาณเป็นองค์กรนักฆ่า ว่ากันว่าในนั้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงทั้งนั้น พวกเขาล้วนเชื่อฟังคำสั่งประมุขตำหนักลากวิญญาณ ปกติจะรับภารกิจ ขอเพียงท่านให้ราคาดี ไม่ว่าจะต้องการชีวิตใคร คนของตำหนักลากวิญญาณก็จะจัดการฆ่าให้ท่านได้"
โหลวซิ่นครุ่นคิดก่อนพูด "ใช่ ข้าน้อยก็เคยได้ยิน นักฆ่าของตำหนักลากวิญญาณเรียกตนเองว่ายมทูต ไปมาแปลกประหลาดยิ่ง ฝีมือโหดเหี้ยม จนถึงวันนี้ยังไม่มีภารกิจใดที่พวกเขาทำไม่สำเร็จเลย เพียงแต่ว่าราคาในการจ้างพวกเขาสูงยิ่งนัก"
"อย่าว่าแต่ประชาชนธรรมดาหรือคหบดีพ่อค้า ต่อให้เป็นขุนนางยังกลัวตำหนักลากวิญญาณ เพราะตำหนักลากวิญญาณยมทูตไม่สนใจว่าท่านฐานะอะไร ขอเพียงมีคนให้ราคาดีพอที่จะจ้างพวกเขา พวกเขาก็จะทำภารกิจให้สำเร็จ" มนตรีบอก พลางพูดอย่างกระดากอายว่า "พูดไปแล้วไม่กลัวพวกท่านหัวเราะ สองปีก่อนข้าเคยคิดว่า ถ้าได้เข้าร่วมตำหนักลากวิญญาณก็คงดี"
"เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันเถิด" โหลชีเก็บเรื่องตำหนักลากวิญญาณนี่ไว้ในใจ และหันไปถามว่า "พวกเจ้าทำอะไรกัน?"
เจ้าลิงได้ยินก็เดินหน้าขึ้นมา ก้มหน้าบอก "คุณชาย ข้าเป็นคนก่อเรื่องเอง"
ที่แท้เดิมพวกเขาเดินมาถึงถนนที่ตระกูลเซียวอยู่พอดี จากนั้นก็เจอลูกค้าถือกล่องใหญ่กล่องหนึ่งถามเขาว่า ตระกูลเซียวที่ทำอาวุธอยู่ที่ไหน เจ้าลิงเลยชี้ไปที่ตระกูลเซียวเดิม ใครจะคิดว่าดันโดนพ่อบ้านของจวนตระกูลเซียวเล็กเห็นเข้าพอดี พ่อบ้านหาว่าเขาชี้ทางมั่ว ให้เขารีบไปเรียกลูกค้าคนนั้นกลับมาใหม่ และชี้ให้ไปทางจวนตระกูลเซียวเล็กแทน
เจ้าลิงมีหรือจะเห็นด้วย เลยเข้าไปคุยกับลูกค้าคนนั้น "ไปจวนตระกูลเซียวตรงหน้านั่นเลย อย่าเดินผิดที่ล่ะ! ต่อไปมีวัตถุดิบดีอะไรไปหาจวนตระกูลเซียวเดิมนั่นได้เลย นั่นถึงจะเป็นของดั้งเดิม"
คำพูดนี้แหละจี้ใจดำสุดๆ พ่อบ้านนั่นเลยสั่งคนไปจับตัวเขามา จะบีบให้เขาบอกว่าใครอยู่เบื้องหลังสั่งเขาให้มาใส่ร้ายตระกูลเซียวเล็ก
ต่อมาพวกถูเปินมาเจอ และรู้ว่าเจ้าลิงถูกคนของตระกูลเซียวเล็กจับตัวไปแล้ว พวกเขาหลายคนร้อนใจก็เลยพุ่งเข้าไปเคาะประตู เพื่อหาคนโต้เถียง แต่กลับโดนพ่อบ้านนั่นหาว่ามาก่อเรื่องถึงที่ จับพวกเขาทั้งหมดด้วยเลย มือเท้าเตะต่อยกับพวกเขา พวกเขาวิทยายุทธ์ไม่ดีนัก สู้ยามรักษาจวนมากขนาดนี้ไม่ได้ ได้แต่ช่วยกันปกป้องมนตรี ให้เขาวิ่งกลับโรงเตี๊ยมไปตามคนมาช่วย
หลังจากโหลชีได้ฟังคำพูดของเขาก็ทำหน้าทะมึนพูดว่า "ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าฝึกฝนวิทยายุทธ์ให้ดีซะ!"
"ขอรับ" พวกเขาหลายคนถอนหายใจโล่งอก เจ้าลิงยิ้มบอก "คุณชาย ยังคิดว่าท่านจะด่าว่าพวกข้าซะอีก"
โหลชีเหล่เขาอย่างคลับคล้ายจะยิ้มก็มิใช่ไม่ยิ้มก็มิเชิงพลางว่า "ข้าเคยทุบตีพวกเจ้าเมื่อไหร่?"
เพียงแต่แบบนี้เท่ากับเป็นศัตรูกับจวนตระกูลเซียวเล็ก คนอย่างเซียววั่ง โหลชีไม่คิดจะให้เขาสร้างแส้จากราชาเถาทองดำอยู่แล้ว นางยังกลัวว่าถึงเวลานั้นเขาจะขโมยราชาเถาทองดำของนางไปอีกแหนะ นิสัยของเขาไม่น่าเชื่อถือ
ก่อนหน้าที่เซียววั่งจะประกาศตัดขาดกับตระกูลเซียว เซียววั่งถึงจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเซียว จุดนี้ทั่วทั้งเมืองนั่วราไม่มีใครไม่รู้ บัดนี้เซียวฉิงคุณชายรองตระกูลเซียวเดิมเรียกตนเองว่าคุณชายใหญ่ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการแสดงว่าพวกเขาสองบ้านตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
โหลชีมองสำรวจเซียวฉิง พลางเลิกคิ้ว
เซียวฉิงอายุประมาณยี่สิบสองปี คิ้วเข้มตาโต ริมฝีปากบาง ดูจากโหงวเฮ้งแล้ว นี่เป็นโหงวเฮ้งของคนจิตใจดีตรงไปตรงมา แต่เรื่องโหงวเฮ้งก็ไม่ถูกต้องเสมอไป
"คุณชายใหญ่เซียวพูดตรงๆเลยเถิด" โหลชีไม่ใช่คนที่ชอบสนทนากับคนแปลกหน้า และขี้เกียจเสวนาด้วย ดังนั้นปกติแล้วนางจะพูดจาตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม นอกจากว่าบางครั้งอารมณ์ดีอยากเล่น
เซียวฉิงมองโหลชี และมองจิ้งจอกม่วงในอ้อมกอดนาง ลังเลเล็กน้อย จู่ๆก็ลุกขึ้น ถอยหลังไปสองก้าว และคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าโหลชี
โหลชีไม่คิดเลยว่าคุณชายใหญ่เซียวจะคุกเข่าให้กับนาง และตกใจมาก "คุณชายใหญ่เซียวทำอะไร?"
เซียวฉิงกัดฟันกรอดบอก "เซียวฉิงรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นการบังคับ แต่ขอคุณชายเจ็ดโปรดช่วยด้วย!"
"เจ้าควรจะต้องบอกก่อนว่าเรื่องอะไรกระมัง?"
เซียวฉิงกำลังจะพูด โหลชีโบกมือพลางว่า "ลุกขึ้นมาพูดกันก่อน ข้าไม่ชินคุยกับคนที่คุกเข่าอยู่"
เซียวฉิงถึงลุกขึ้น และนั่งลงอีกครั้ง บนโต๊ะมีเครื่องชงชา เดิมเขากำลังต้มน้ำ ตอนนี้น้ำเดือดปุดๆแล้ว เขากำลังจะยื่นมือออกไปชงชา โหลชีแซงหน้าเขาลงมือก่อน
เขามองมือขาวเรียวของนางกระทำล้างถ้วยชาด้วยน้ำร้อนอย่างงุนงง ใส่ใบชา ล้างหนึ่งรอบ เทชาทิ้ง และเริ่มรอบที่สอง
เขารู้ว่าตอนนี้ตนไม่ควรจะนิ่งอึ้ง แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงอดมองการกระทำและมือเรียวของนางไม่ได้จนลืมพูดไป
คุณชายเจ็ดมีสองมือที่สวยมาก
นี่เป็นความคิดเพียงอย่างเดียวในใจเซียวฉิงตอนนี้
ตอนนางชงชา จิ้งจอกม่วงตัวนั้นพิงตัวนางอยู่ มีเหลือบตาขึ้นมามองนางบ้าง และมองนางเขา จากนั้นก็ยอบตัวลงไปใหม่ กลิ่นหอมของชาลอยออกมา ควันร้อนระอุ หัวใจของเซียวฉิงสงบนิ่งลง ตอนนี้เขาได้ยินโหลชีถามว่า "คุณชายใหญ่เซียวตอนนี้สามารถพูดให้ชัดเจนได้หรือยัง?" ชาร้อนแก้วหนึ่งยื่นมาตรงหน้าเขา
"ขอบคุณคุณชายเจ็ด"
เซียวฉิงดื่มชาถ้วยนั้น ไอเย็นในร่างกายค่อยหายไป เขาผ่อนคลายลง และพูดจุดประสงค์
"คุณชายเจ็ดคงได้ยินเรื่องราวของตระกูลเซียวมาแล้ว เซียวฉิงขอร้องคุณชายเจ็ดให้ช่วย บัดนี้ตระกูลเซียวอยากจะสร้างกระบี่ล้ำค่าด้ามหนึ่ง ตระกูลเซียวมั่นใจ กระบี่นี้พอออกมาจะต้องขึ้นแท่นติดอันดับอาวุธของใต้หล้าแน่ ต่อให้เป็นพิชิตวันของจักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ก็มิแน่จะไม่เทียบได้!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ