เอ้อร์อินคิดอยู่ชั่วขณะ พลางเดินไปทางตำหนักขององครักษ์เสวี่ย
แสงยามเช้าสาดส่อง ช่างดูเงียบสงบ
เพียงแต่ในเวลานี้ เสียงจ๊อกๆ ดังขึ้น
โหลชียังไม่ได้ลืมตาตื่น นางรับรู้ได้อย่างสะลึมสะลือถึงความอุ่นร้อนที่นาบอยู่ด้านหลัง เลยพึมพำออกมา "ไวร์ หิวอีกแล้วใช่ไหม? ไปหาอะไรกินไป อย่ามาปลุกฉัน!" พอพูดจบ นางได้สติลืมตาตื่นฉับพลัน และในเวลาเดียวกัน ข้อศอกโดนดึงไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ขาเหยียบพุ่ง ทั่วทั้งร่างพุ่งไปหาอ้อมกอดด้านหลังนั่น
การกระทำทั้งหมดนี่ไหลลื่นไม่มีจังหวะใดติดขัดเลย น่าเสียดาย ฝีมือที่นางเคยภูมิใจหนักหนากลับใช้การมิได้ไป แขนเหล็กข้างหนึ่งกอดรั้งเอวนางไว้แน่นหนามาก
ไม่ ไม่ถูก ก่อนหน้านี้ความตื่นตัวที่นางภูมิใจหนักหนาหายไปกับผีแล้วซะงั้น
ทั้งๆ ที่ท้องนางหิวมากจนท้องร้องจ๊อกๆ นางกลับคิดว่าเป็นท้องคนข้างๆ ทั้งๆ ที่ย้อนข้ามมาที่แปลกประหลาดอย่างนี้ นางกลับนอนหลับสบายจนคิดว่ายังฝันหวานบนเตียงในยุคปัจจุบันนางอีก ยังเป็นบ้านที่นอนหลับสบายไร้กังวล
ยังคิดว่าที่นอนกับตนเป็นหมาทิเบตันตัวนั้นที่นางเลี้ยงมาห้าปี และยังเรียกชื่อมันออกมาอีก
แต่ น่าตายนัก ใครจะบอกนางได้บ้างว่า ทำไมนางถึงมานอนอยู่บนเตียงเดียวกับเจ้าอาวุธทำลายล้างเฉินนี่กัน!
นางไม่ได้นอนบนเตียงนี่นา!
อีกอย่าง วันนี้ไม่ใช่วันขึ้นสิบห้าค่ำ เจ้าอาวุธทำลายล้างเฉินบ้ารึเปล่าอุ้มนางขึ้นเตียงทำไม? หา นี่คิดจะทำอะไรหะ?!
"ใครคือไวร์? หือ?"
น้ำเสียงเคร่งขรึมแต่แฝงความเซ็กซี่อย่างที่สุดดังขึ้นที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นร้อนพ่นไปที่ลำคอโหลชี นางขนลุกฉับพลัน รู้สึกขนลุกขนพองไปทั่วตัว
น่าตายนัก นางไม่เคยใกล้ชิดกับใครขนาดนี้มาก่อนเลย นี่มันทนไม่ได้แล้ว ทนไม่ได้!
"ใครคือไวร์เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ปล่อยข้านะ!" โหลชีดิ้นรนขึ้นมาอีก
แต่นางยิ่งดิ้นรน แขนเหล็กนั่นก็ยิ่งกอดรัดแน่นขึ้น
"เจ้าบังอาจนัก!"
"ใครบังอาจกัน? ข้าไม่ได้ปีนขึ้นเตียงเจ้าเองสักหน่อย!" โหลชีตะคอกกลับไป
"พูด ไวร์เป็นผู้ชายของเจ้าใช่หรือไม่?" เขาพลิกตัวกลับขึ้นมา กดร่างนางไว้ด้านล่าง ดวงตานุ่มลึกนั่นตอนนี้มีแต่ประกายความโกรธเต็มเปี่ยม เหมือนกับว่าขอเพียงนางพยักหน้า หรือกล้าตอบว่าใช่ เขาจะจัดการนางทันที หรือแม้กระทั่งทำนางสลายเป็นผุยผง!
ความคิดแบบนี้มันแรงกล้ามาก แต่โหลชีไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า ต่อให้ไวร์เป็นผู้ชายของนางจริง เขาโมโหอะไรกันเนี่ย? ต่อให้เขาเป็นนางกำนัลนางจริงๆ นางกำนัลไม่มีสิทธิ์แต่งงานหรือไง?
โหลชีอยากจะขัดขืนให้ถึงที่สุด แต่ภายใต้สายตาคาดคั้นแบบนี้ของเขา นางเลือกที่จะอ่อนข้อให้อย่างยอมแพ้ จึงพูดว่า "ไวร์เป็นหมาตัวหนึ่งที่ข้าเคยเลี้ยงไว้!"
"หมา?" เฉินซ่ากัดฟัน "เจ้าร่วมนอนกับหมาตัวหนึ่ง? เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อรึ?"
"ที่ข้าพูดเป็นความจริง หากท่านไม่เชื่อข้าจะมีวิธีอันใดได้! ประหลาดนัก นอนกับหมาตัวหนึ่งมีสิ่งใดไม่ถูกกัน!" โหลชีร้องขึ้นมา "จะบอกเจ้าให้ ไวร์ของข้านะอาบน้ำตัวหอมทุกวันเลยทีเดียว!"
คำว่าตัวหอมคำนี้ทำให้ท่านฝ่าบาทเฉินซ่าเชื่อสนิทใจ เพราะในความคิดเขา ผู้ชายมิมีทางใช้คำนี้เป็นเด็ดขาด
ความโกรธถอยไปอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นซัดสาด
เวลานี้เขาจึงดึงนางขึ้นมา มองสำรวจนางจากหัวจรดเท้า "บนร่างเจ้ายังมีบาดแผลที่ใดอีก?"
"มิมีบาดแผล! แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมให้ข้ากินข้าว ข้าต้องหิวตายแน่!" พูดจบ คล้ายดั่งพยานฟ้องนางขึ้นมา ท้องของนางดังจ๊อกจ๊อกอีกครั้ง
"ใครก็ได้ นำอาหารเข้ามา! " เฉินซ่าเรียก
ผ่านไปไม่นาน โหลชีนั่งข้างโต๊ะอาหาร มองดูอาหารเต็มโต๊ะ หยิบตะเกียบอย่างหน้าบาน เมื่อเห็นเฉินซ่าเองก็หยิบตะเกียบเตรียมคีบอาหาร จึงรีบเอ่ยห้ามปรามเขา "เทียนยีมิได้บอกเจ้าหรือ? เจ้าทานได้แต่โจ๊กเท่านั้น"
"แม่นางโหล ข้าน้อยคิดว่ามื้อแรกที่นายท่านจะรับหลังฟื้นขึ้นมาเท่านั้นที่ต้องเป็นโจ๊ก" เทียนยีปรากฏกายออกมา
โหลชีส่ายหัว แววตามีความเจ้าเล่ห์วาบผ่าน "มิใช่มิใช่ สามวันนี้เขาต้องทานโจ๊กเท่านั้น จะแตะต้องเนื้อมิได้"
เทียนยีอึ้งทันที
เมื่อก่อนเดิมฝ่าบาทเองก็ทานอาหารไม่น้อย และปริมาณในแต่ละวันมีเป็นจำนวนมาก ปลาและเนื้อจะขาดมิได้เลย ตอนนี้กลับให้เขาทานแต่โจ๊กอ่อนสามวัน และห้ามแตะต้องเนื้อแม้แต่นิด นี่จะให้เขาบำเพ็ญเพียรหรือมิใช่?
แต่เฉินซ่ากลับวางตะเกียบลงทันที "ไปนำโจ๊กมา"
"ขอรับ ฝ่าบาท!" เทียนยีล่าถอยออกไป
โหลชียิ้มตาหยีมองเขาพลางว่า "ถ้าเช่นนั้นต้องขออภัยด้วย นายท่าน ข้าทานก่อนเถิดหนา!"
นางหิวจะตายอยู่แล้ว หลังจากการเสียเลือดทุกครั้ง นางจะต้องกินอาหารเป็นจำนวนมาก ไม่งั้นนางจะอ่อนแออยู่นาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ