ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 510

โหลชีได้รับรายงานของพวกเขาทั้งสอง นั่งรับลมอยู่ในศาลาของสวนดอกไม้คนเดียวเป็นครึ่งชั่วยาม

นางกำลังเรียบเรียงความคิด

ประมุขของลัทธิสิ้นโลกีย์เหมือนเฉินซ่า แต่ว่าลัทธิสิ้นโลกีย์ชั้นล่างชั้นสูง ฝั่งหนึ่งต้องการจะฆ่านาง ฝั่งหนึ่งต้องการจะจับนาง

มู่หลานเป็นคนของตระกูลโหล แต่กลับถูกทำให้มีหน้าตาเหมือนกับนาง

ตอนนี้คงได้แต่อนุมานไปเช่นนี้ ลัทธิสิ้นโลกีย์กับตระกูลโหล กับราชวงศ์เฉิน กับราชวงศ์ซวนหยวน ล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน บางทีอาจจะสามารถพูดได้ว่า ลัทธิสิ้นโลกีย์ชั้นสูงและชั้นล่าง อาจจะเป็นปรปักษ์กัน มู่หลานเป็นตัวแทนของฝ่ายที่เป็นศัตรูกับนาง และนางก็เป็นคนของตระกูลโหล เช่นนี้แล้ว ตระกูลโหลกับนางเป็นปรปักษ์กันหรือ?

ข้อนี้ก็สามารถใช้เรื่องที่ครั้งนี้โหลฮ่วนเทียนถูกโหลเหล่าไท่จวินจับกุมขังเป็นหลักฐานทางอ้อมได้ อีกอย่าง หากว่าโหลเหล่าไท่จวินดีต่อเขา ต่อแม่ของเขาจริงๆ โหลฮ่วนเทียนยังจะแอบต่อต้านตระกูลโหล แอบยุยงให้หอบังคับกฎของตระกูลโหลเป็นกบฏหรือ?

เมื่อก่อนโหลเหล่าไท่จวินกับพ่อของนาง ซึ่งก็คือซวนหยวนจ้านมีข้อตกลงกัน แต่ว่าถึงตอนนี้ ข้อตกลงไม่เกิดผลแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางจึงเปิดเผยออกมา

จุดประสงค์ของนางคืออะไร?

แล้วมู่หลานมีฐานะอะไร?

เกี่ยวกับข้อมูลฐานะของมู่หลานที่ได้รับมาข้อนี้โหลชีไม่ได้คิดเอาไว้เลยจริงๆ เดิมทีที่นางให้เฉิงสิบไปกระตุ้นนาง เป็นเพราะนางรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของมู่หลานดูแปลกเล็กน้อย ตอนที่เจอกับนางครั้งแรก นางก็ยังดีๆอยู่ เหมือนคนปกติธรรมดามาก แต่ว่าช่วงนี้นางสะลึมสะลือ ร่างกายก็กลายเป็นเช่นนั้นไป?

มีความเป็นไปได้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางรักษาให้คงอยู่ได้ด้วยการกินยาชนิดหนึ่ง แต่ว่ายาชนิดนี้ ยังต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกมากระตุ้น ช่วงเวลานี้นางนอนอยู่บนเตียงทุกวันราวกับผัก ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ร่างกายไม่มีพลังชีวิตเลย

ดังนั้นนางให้เฉิงสิบกล่าวคำพูดเหล่านั้น มู่หลานก็เกิดอารมณ์โกรธจริงๆ เหมือนกับว่าถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี คนทั้งคนใกล้จะระเบิดความโกรธออกมาแล้ว นี่แสดงว่าฐานะที่แท้จริงของนางก็ไม่ได้ต่ำต้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเพียงแค่สาวใช้หรือว่าชาวบ้านตัวเล็กๆคนหนึ่งอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นมีผู้ชายที่หล่อเหล่าเช่นนั้นอย่างเฉิงสิบต้องการจะแต่งงานกับนาง ถึงแม้จะเป็นตัวแทน ก็ไม่ถึงกับต้องโกรธขนาดนั้น

คุณหนูใหญ่ของ ตระกูลโหลหรือ?

"พระสนม ผิวบนร่างกายของมู่หลานเริ่มกลับมาเปล่งปลั่งและเต่งตึงอีกครั้งแล้ว! อีกอย่าง ใบหน้าของนางก็เป็นธรรมชาติขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ได้แข็งทื่อขนาดนั้นแล้ว!" อิ้นเหยาเฟิงเดินมาอย่างเร่งรีบ หลังจากเฉิงสิบจากไปแล้ว นางยังอยู่สังเกตการณ์มู่หลานอยู่ที่นั่น

แววตาของโหลชีเป็นประกายขึ้นมาทันที!

ยาที่ใช้คงความงามรักษาความสด!

นางมีวิธีแล้ว!

โหลชีลุกขึ้นมาทันที ในที่สุดก็รู้ว่าจะทำลายใบหน้าปลอมของมู่หลานนั่นอย่างไร! หลังจากทำลายแล้ว นางก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าใบหน้านั่นจะสามารถคุกคามตัวเองได้อีก

"เหยาเฟิง ไป ให้เจ้าดูยาดีที่ข้าทำขึ้นมา!" นางออกจากตำหนักสามอย่างเร่งรีบ เดินไปทางตำหนักยา

......

ช่วงนี้เยว่กับอิงก็ย่อมต้องยุ่งมากอยู่แล้ว ยุ่งจนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เพราะพวกเขาสังเกตว่า โอกาสในการติดตามฝ่าบาทเข้าออกพร้อมกันของตนเองน้อยลงไปเรื่อยๆแล้ว

ครั้งนี้จะออกจากแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง พวกเขากลัวว่าตนเองจะถูกทิ้งเอาไว้อีก ฝ่าบาทและคนอื่นๆไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะไปนานเท่าไหร่ จะให้พวกเขาอยู่ห่างจากฝ่าบาทเช่นนี้ตลอดคงไม่ได้

ดังนั้นหลังจากที่กินอาหารเย็นในเย็นวันนี้เรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวจะไปแสดงความตั้งใจต่อฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็จะต้องตามไปให้ได้

แต่แล้วเมื่อทั้งสองเพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ตำหนักสาม ก็เห็นอวิ๋นที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง กำลังมองไปทางทิศทางหนึ่งด้วยสีหน้าท่าทางที่อธิบายไม่ถูก

อิงใช้ข้อศอกชนไปที่เยว่ ลดเสียงให้ต่ำลงมาแล้วกล่าวว่า: "อวิ๋นกำลังมองอะไรอยู่?"

เยว่มองไปแวบหนึ่ง กล่าวอย่างราบเรียบ: "อามู่อาศัยอยู่ที่นั่น"

"เชี่ย อวิ๋นคงไม่ได้ชอบนังหนูน้อยคนนั้นจริงๆใช่ไหม?" อิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย "นังหนูนั่นดูแล้วยังไม่โตเลย ดูเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่งตลอด......"

คำพูดของเขายังไม่ทันได้พูดจบ อวิ๋นก็หันกลับมาแล้ว มองดูพวกเขา เยว่กับอิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่งพร้อมกัน

เดิมที รอยแผลของอวิ๋นก็เลวร้ายมากอยู่แล้ว ดูแล้วเหมือนยังไม่หายดี ซึ่งดูน่ากลัวมากอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้บาดแผลนั่นกลับรุนแรงและแย่ลงไปอีก!

ราวกับตะขาบขนาดใหญ่ยักษ์ นอนบิดตัวอยู่บนคอของเขา หัวอยู่บนหน้า หางเข้าไปในหอเสื้อ เนื้อหนังทั้งสองด้านเปิดออก และในสีดำยังอมไปด้วยสีแดง ดูแล้วทำให้คนรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้

"เกิดอะไรขึ้น?"

อิงก้าวเดินเข้าไปข้างหน้า ชี้ไปที่บาดแผลของเขา นิ้วมือก็ยังสั่นเทา ถึงเขาจะไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แต่ก็ดูออกว่าบาดแผลนี้ผิดปกติอย่างมาก หรือจะเป็นบาดแผลปกติธรรมดา ไหนเลยจะหายยากขนาดนี้?

"อวิ๋น ไป ไปหาหมอเทวดากัน" เยว่ก็เดินเข้ามา ขมวดคิ้วขึ้นมา

อวิ๋นกลับส่ายหน้า จากนั้นก็มองดูพวกเขา กล่าวเสียงต่ำว่า: "ข้าสงสัยว่าอามู่มีบางอย่างผิดปกติ"

"อะไรนะ?" อิงกับเยว่ร้องออกมาพร้อมกัน อดที่จะมองหน้ากันไม่ได้

สีหน้าของเยว่ขรึมลงเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าเขามองไปทางฝั่งอามู่จากที่นี่เพราะรู้สึกสับสนต่อความรู้สึกในครั้งนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดประโยคนี้ออกมา

"ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้?"

"บาดแผลของข้า......" อวิ๋นยิ้มขมขื่น: "ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะยังไม่ได้หายดีมาตลอด แต่ก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ ครั้งก่อนตอนอยู่เขาเวิ่นเทียนจู่ๆพิษกู่ของอามู่ก็กำเริบ ข้าแบกนางไปนานมาก มือของนางโอบคอของข้าเอาไว้ ในคืนวันนั้นข้าก็เริ่มรู้สึกคันบาดแผลขึ้นมา จากนั้นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ"

เพียงแต่ว่าช่วงนี้ทุกคนต่างก็ยุ่งๆกันทั้งนั้น ในใจของเขาก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย เลยไม่ได้พูดมาโดยตลอด

"หรือว่านางจะเป็นคนวางยาพิษ?" อิงหน้าเขียวปั๊ด เดินขึ้นมาก้าวหนึ่งก็จะเดินไปทางอามู่: "ข้าจะไปลากตัวนางออกมาถามให้ชัดเจน!"

เยว่ยื่นมือไปหยุดเขาเอาไว้ "นี่เจ้าจะทำอะไร ก็ไม่แน่ว่าอามู่จงใจจะวางยา อวิ๋นบอกว่านางผิดปกติ อาจจะเป็นแค่กู่ที่อยู่ในตัวนางผิดปกติเท่านั้นก็เป็นได้"

อวิ๋นพยักหน้า "ถูกต้อง"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ