นี่เป็นกลวิธีพลิกลิ้นเล่นคำให้ดูดีแค่นั้นแหล่ะ!
ที่นางว่าคือจักรพรรดิที่เป็นแบบนี้ ถ้าตอนนี้นางตามน้ำรับคำพูดของเขาโดยตอบไปว่าชอบ นั่นจะไม่เท่ากับพูดว่านางชอบเขาที่เป็นแบบนี้หรอกหรือ?
โหลชียกมือขึ้นกุมที่ตำแหน่งหัวใจ พลางพูดด้วยท่าทางโศกเศร้า"เจ้ากลายเป็นคนไม่ดีไปแล้ว"
"ข้าอาจทำตัวร้ายกาจกับคนทั้งโลก แต่ข้าจะทำดีกับเจ้าแค่คนเดียว"
"เจ้าทำดีกับข้าแค่พอประมาณเถอะ!"
ตอนนี้ที่ด้านนอกมีเทียนยีกำลังบังคับรถม้าอยู่ รออีกเดี๋ยวถ้านางร้องโวยวายขึ้นมา มันคงจะกลายเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าสิ้นดีแน่ ๆ
"ในอนาคตจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องนอนของเรา" เขากัดริมฝีปากของนาง
โหลชีกลอกตามองบนเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
แต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้ นางกลับรู้สึกมึนงงน้อย ๆ ไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว ทั้งไม่รู้ว่าในอนาคตพวกเขาจะอยู่กันที่ไหน หรือจะได้กลับไปที่ต้าเซิ่งหรือไม่ พูดไปแล้ว นางก็ค่อนข้างชอบตำหนักจิ่วเซียวอยู่มาก อีกทั้งวันเวลาที่อยู่ที่นั่นก็ไม่ได้นานมากมายอะไรด้วย
การไปแผ่นดินใหญ่หลงหยินครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาจะตามหาแล้วพาพ่อกับแม่ทั้งสองฝ่ายกลับมาได้หรือไม่? ยังมีเจ้านักพรตเลว.....
"พอไปถึงแผ่นดินใหญ่หลงหยินแล้ว ข้าอยากไปที่สำนักของเจ้านักพรตเลวนั่นก่อน"
เฉินซ่าพยักหน้า: "ภรรยาสั่งสามีตาม"
โหลชี "...."
อุ้ยตายว้ายกรี้ด! หวานจนนางแทบดิ้นตายแล้ว! หวานจนเลี่ยนแทบตายเลยเถอะ!
รถหยุดลงอย่างกะทันหัน นางจึงเสียหลักล้มคว่ำไปข้างหน้า เฉินซ่ายื่นแขนมาโอบกอดนางไว้อย่างง่ายดาย ช่วยให้ร่างของนางมั่นคงขึ้น
"ขอฝ่าบาทกับจักรพรรดินีประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ที่สุสานเกิดเรื่องแล้ว" เสียงเคร่งเครียดของเทียนยีดังแว่วเข้ามา
เฉินซ่าโอบร่างของนางไว้แล้วพาเหินออกมา พวกเขามาถึงสุสานตระกูลโหลแล้ว สุสานแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้อยู่นิดหน่อย ทั้งไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงมีคนในตระกูลโหลล้มตายลงไปมากมายขนาดนี้.....
แต่หลังจากนี้ คาดว่าสุสานน่าจะต้องขยายให้ใหญ่ขึ้นอีกครั้งแล้ว เพราะครั้งนี้ก็มีคนตระกูลโหลตายไปอีกเป็นจำนวนไม่น้อย
สิ่งที่พวกเขาเห็นในตอนนี้ คือมีหลุมฝังศพจำนวนมากที่ป้ายวิญญาณถูกหักครึ่งตรงกลาง มีหลุมศพหลายแห่งที่ดูเหมือนจะถูกระเบิดด้วยระเบิดจนกระจุยกระจาย เผยให้เห็นโลงศพที่อยู่ข้างใน
ทั่วทั้งสุสานอยู่ในสภาพที่เหมือนกับว่า มีกลุ่มโจรขุดสุสานไร้ศีลธรรมบุกเข้ามา แล้วใช้วิธีการอันโหดร้ายอำมหิตขุดค้น ทำจนทุกหนทุกแห่งเละเทะยุ่งเหยิงไปหมด
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
เมื่อมาถึงสุสาน โหลเหล่าไท่จวินก็กระโดดลงจากรถ เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็แทบจะเป็นลมไปเสียให้ได้ เพราะถึงอย่างไร แต่เดิมนางก็เป็นคนตระกูลโหล หลายปีมานี้ก็รับผิดชอบดูแลตระกูลโหลมาโดยตลอด จึงเป็นธรรมดาที่จะมีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งต่อตระกูลโหลอย่างที่สุด
"สมควรตาย นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เป็นเสียแบบนี้แล้วจะหากุญแจนั่นอย่างไรได้?" สีหน้าของซวนหยวนจื้อก็น่าเกลียดจนแทบดูไม่ได้แล้วเช่นกัน
เฉินซ่าทำสัญญาณมือ ทุกคนต่างพากันเงียบเสียงลงทันที เหลือเพียงเสียงของคู่สามีภรรยาสูงอายุคู่นี้เท่านั้น โหลชีปรายตามองพวกเขาอย่างหมดความอดทน "หุบปาก"
แม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าเฉินซ่าคิดจะทำอะไร แต่เขาอุตสาหทำสัญญาณมือให้ทุกคนเงียบแล้วแท้ ๆ สองคนนี้ยังจะเห่าหอนอะไรอยู่ได้?
ซวนหยวนจื้อจ้องนางเขม็ง เกือบจะหลุดปากด่านางว่านังเด็กเวรไปอีกสักประโยค แต่เพราะเฉินซ่ากับโหลฮ่วนเทียนทั้งสองคนต่างจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ทำให้เขาไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีก
นี่มันช่าง.... ไม่มีความน่าเกรงขามของผู้อาวุโสเลยสักนิดจริง ๆ! ไม่รู้ว่านังมารผจญคนนี้มันมีอะไรดีนักหนา ทุกคนถึงได้หันไปเอาอกเอาใจนางกันหมด! เดิมทีเมื่อคืนนี้เขาตั้งใจว่าจะไปขัดจังหวะพวกเขา เพราะเรื่องที่ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันถึงกับรู้ไปหมดทั้งกองทัพแล้ว เรื่องนี้ช่างไร้ยางอายอย่างถึงที่สุด ตระกูลซวนหยวนของเขาไม่อาจทนขายขี้หน้าคนอื่นได้แล้วจริงๆ!
แต่แล้ว แม้แต่ซวนหยวนอี้ก็ยังมารั้งเขาไว้
พวกซวนหยวนอี้ติดตามพวกเขาสองคนมาตลอดทาง ต่างก็ได้ฟังเรื่องราวที่ทั้งสองคนร่วมกันฝ่าลมฝ่าฝนมาจนถึงตอนนี้ คนที่พูดมากสุดก็คือโหลวซิ่น เพราะถึงอย่างไรโหลวซิ่นก็เป็นคนที่ติดตามอยู่ข้างกายพวกเขามาโดยตลอด ส่วนเฉิงสิบก็ยังคงเงียบขรึมสงบปากสงบคำเหมือนเดิม
ทุกคนต่างเงียบเสียงลง ได้ยินเพียงฝนตกดังซ่า ๆ ตกกระทบลงบนหัว บนร่างและบนรถของพวกเขา โปรยปรายลงไปบนพื้นหญ้า หล่อเลี้ยงให้ความชุ่มชื่นแก่พื้นดิน ได้ยินเสียงม้าร้องมาเป็นระยะ มีเสียงนกตัวสองตัวส่งเสียงร้องจิ๊บ ๆ ดังแว่วมา
เรียกได้ว่าเป็นความเงียบสงบอย่างที่สุด
เฉินซ่าหลับตาลง
โหลชียืนมองเขาอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่ถอนกู่ออกไปแล้ว นางกลับรู้สึกว่านิสัยของเฉินซ่ายิ่งเก็บความรู้สึกแบบนิ่งเฉยแต่ซ่อนคมมากขึ้นกว่าเดิม ดูภายนอกเหมือนดาบไร้คม มองแวบแรกอาจรู้สึกว่าแค่งดงามแต่ไม่มีความแหลมคมอะไร แต่พอเลื่อนสายตาไปครู่เดียวแล้วมองซ้ำอีกครั้ง กลับสัมผัสได้ถึงปราณอันคมกริบของดาบที่ซ่อนเร้นอยู่
เมื่อก่อนในตอนที่พิษกู่ไม่ได้กำเริบ จะไม่รู้สึกถึงผลกระทบใด ๆ ที่มีต่อเขาเลย แต่มาตอนนี้หลังจากถอนกู่ออกไปแล้ว นางถึงได้พบว่ามันยังมีผลกระทบอยู่ อย่างน้อยเขาในตอนนี้ก็ดูสงบและผ่อนคลายมากขึ้น เพราะอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอยู่ตลอดเวลาแล้วว่า พิษกู่จะกำเริบขึ้นมาอีกเมื่อไหร่
แต่อาจจะดูเย่อหยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมหน่อย
แต่ นางก็ชอบอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินซ่าก็ชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเคร่งขรึมว่า "อยู่ทางนั้น"
ที่นั่นเป็นมุมหนึ่งที่มีกลุ่มของหลุมฝังศพเรียงรายอยู่ ในสุสานนี้ก็ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าที่อื่น ยังคงมีเพียงป้ายหน้าหลุมฝังศพที่แตกหัก กับหลุมศพที่ถูกทำลายจนกระจุยกระจาย
ทันทีที่โหลชีโบกมือ ทุกคนก็รีบสาวเท้าวิ่งรี่ไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
โหลเหล่าไท่จวินมองเฉินซ่าแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยหันไปมองหน้าประสานสายตากับซวนหยวนจื้อ เข้าใจว่าเขาเองก็ไม่ได้ยินอะไรเลยเหมือนกัน ทำไมเฉินซ่าถึงได้ยินล่ะ? แต่พวกเขาก็วิ่งไปทางนั้นทันทีเหมือนกัน
ในรถม้าด้านหลัง เยว่กับอิงก็เร่งฝีเท้าไล่ตามมาด้วย พวกเขาเดินมาถึงข้างตัวเฉินซ่ากับโหลชี ทั้งสองมีท่าทีเหมือนไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้
"จักรพรรดิ จักรพรรดินี!"
เมื่อเช้าตรู่เฉินซ่าไปพบพวกเขามาแล้ว ความตื่นเต้นเรื่องที่สามารถกำจัดกู่พิษออกไปได้นั้นผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ที่พวกเขาตื่นเต้นเป็นเพราะได้พบกับโหลชี
ความรู้สึกที่ได้เห็นโหลชีตอนนี้ แตกต่างจากเมื่อก่อนมากจริง ๆ
ปรากฏว่านางไม่เพียงแต่เป็นกุญแจที่ใช้แก้ไขพิษของจักรพรรดิได้เท่านั้น แต่การถอนกู่ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยนางด้วย!
ตอนนี้เอง อิงถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ในตอนแรกที่โหลชีร่วงตกลงมาจากฟ้า แล้วประจวบเหมาะได้ตกลงไปในอ้อมแขนของจักรพรรดิอย่างพอดิบพอดีนั้น มันคือสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิต! แม้ว่าสิ่งนี้จะแปลกประหลาดจนน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็เป็นความจริงที่ถูกเอามาวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
ดังนั้นเมื่อได้เห็นโหลชี จึงเกิดความรู้สึกเคารพ ชื่นชม ยินดี และความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ