ดวงตาของซีฉางอี้เบิกกว้างขึ้นมาทันที เขาเดาว่าโหลชีกับเฉินซ่าจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันขนาดนี้ อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าเฉินซ่าเป็นคนเย็นชา อารมณ์ขึ้นๆลงๆ ไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ และยิ่งไม่ชอบให้ผู้หญิงเกาะติดแบบนี้หรอกหรือ? นี่นี่นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? โหลชีกำลังกอดแขนของเขาเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่สะบัดมันออกเลย!
"องค์ชายเก้า เจ้ามองไปที่ไหนน่ะ" โหลชีเตือนเขาอย่างใจดีว่าอย่าเอาแต่จ้องคนอื่นตลอดเวลานะ ทั้งนี้จะได้ไม่ทำให้ผู้ชายคนนี้อารมณ์ไม่ดี แล้วตบเข้าไปที่หัวของเขาจนเละเหมือนลูกแตงโม
ซีฉางอี้ยับยั้งจิตใจเอาไว้ แล้วจึงไอแล้วไออีกและพูดว่า "แม่นางโหลสัญญากับข้าแล้ว ขอเพียงแค่ข้าพูดสิ่งที่นางอยากรู้ออกมา นางก็จะปล่อยข้าไป" เขาชี้แจงอีกครั้ง แล้วดึงโหลชีออกมา
ตอนนี้หวังเพียงว่าโหลชีจะมีความสำคัญในใจของเฉินซ่า จริงๆ เพราะคำพูดของนางช่างมีบทบาทจริงๆ
"ว่ามา" เฉินซ่าพูดเพียงสองคำนี้เท่านั้น
ซีฉางอี้ตกตะลึงอยู่พักหนึ่งและคิดที่จะตอบโต้กลับมา นี่เขารับปากแล้วหรือ?
โหลชีเบ้ปากไปมา และคิดอยู่เสมอว่าองค์ชายเก้าคนนี้ช่างโง่เขลาอยู่บ้างจริงๆ ตกลงเขารอดตายมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรกันแน่นะ? แต่ทว่า บางทีถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเคยโดนวางยาพิษที่มีผลต่อระบบประสาทมาก่อน เขาก็คงถูกคนอื่นๆในราชวงศ์แทะจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกมาตั้งนานแล้ว
"ตอนนี้ยาของฝ่าบาทน่าจะยังหาไม่ครบสินะ แต่ข้ารู้ที่อยู่ของตัวยาหนึ่งในนั้นพอดีเลย"
"อย่าอุบเอาไว้"
"ไขหินพันปี"
โหลชีกับเฉินซ่ามองหน้ากัน มันคือไขหินพันปีอีกแล้วงั้นหรือ? ในคืนนั้นมีคนเจตนาสร้างอุบายที่เร้นลับซับซ้อนขึ้นมา เพื่อต้องการล่อให้เฉินซ่าออกไป ต่อมาในขณะที่โหลชีกำลังจะออกไปไล่ตามชายคนนั้น เธอก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเมื่อไปถึงตำหนักยานางจึงตรวจดูให้ละเอียดสักพัก คิดไม่ถึงเลยว่า ยอดฝีมือที่มีกำลังภายในล้ำลึกนั้นเป็นตัวปลอม ลูกน้องดูแลยาคนนั้นที่เป็นหนอนบ่อนไส้ต่างหากจึงจะเป็นตัวจริง เขาใช้มีดพกกรีดเป็นรอยเล็กๆไว้บนเสาก่อน จากนั้นจึงค่อยๆเสียบใบไม้นั่นเข้าไป
หลังจากที่ตรวจพบสิ่งนี้ โหลชีก็ปลอมตัวเป็นเฉินซ่า แสดงใบหน้าออกมาต่อหน้าคนที่เฝ้าติดตามนางเพื่อแสดงให้เห็นว่าเฉินซ่าได้ออกไปคนเดียวจริงๆ หลังจากนั้นก็กลับไปที่ตำหนักจิ่วเซียวในทันที
แต่ทว่าไขหินพันปีที่ลูกน้องดูแลยาพูดถึงนั้นในภายหลังพวกเขาก็ได้เข้าใจว่ามันเป็นเพียงที่เขาเขียนออกมาอย่างสะเปะสะปะเพื่อหลอกสายตาให้สับสนเท่านั้น
ในตอนนี้คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากปากของซีฉางอี้อีกครั้ง แล้วจะไม่ให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจได้อย่างไร
เฉินซ่าพูดอย่างเย็นชาว่า "การถอนพิษของข้าไม่จำเป็นต้องใช้ไขหินพันปีหรอก"
"เรื่องนี้ข้ารู้ดี ข้าหมายความว่าจิ้งจกน้ำแข็งที่ฝ่าบาทต้องการ มีเพียงสถานที่ที่ไขหินพันปีก่อรูปขึ้นมาเท่านั้นจึงจะหาพบ!" ดูเหมือนซีฉางอี้จะกลัวว่าพวกเขาจะไม่เชื่อตัวเอง เขาก็เลยรีบพูดขึ้นมาว่า "และได้มีคนทราบตำแหน่งคร่าวๆของไขหินพันปีแล้ว ซึ่งข่าวนี้เป็นข่าวที่แพร่ออกมาจากซีเจียงเชียวนะ ดังนั้นมันก็ไม่แปลกหรอกที่พวกเจ้าจะยังไม่เคยได้ยิน!"
"อยู่ที่ไหน?" เมื่อโหลชีมองจากแววตาของเฉินซ่าก็รู้ว่าในยาของเขามีจิ้งจกน้ำแข็งอะไรนั่นรวมอยู่ด้วยจริงๆ "ไขหินพันปีนั่นอยู่ที่ไหน?"
สำหรับจิ้งจกน้ำแข็งนั้นจะต้องได้มาอย่างแน่นอน ถ้าหากไขหินพันปีนั่นมีอยู่จริงๆ แล้วเขาจะปล่อยให้คนอื่นยึดเอาผลประโยชน์ไปได้อย่างไร หลังจากฟังการแนะนำของเยว่แล้ว นั่นคือของล้ำค่าทีเดียวล่ะ ซึ่งมันสามารถเพิ่มพลังหนึ่งเจี่ยจื่อได้ เฉินซ่าจะไม่อยากได้ได้รึ?
"สิบแปดถ้ำแห่งทุ่งน้ำแข็ง"
ขณะที่ออกมาจากคุก เฉินซ่าก็เงียบมาตลอดทาง และสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกโหลชีก็เดินตามเขาไปติดๆ ต่อมาพอเห็นเขาเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ นางจึงถือโอกาสหยุดฝีเท้าลงไปเสียเลย แล้วเตรียมตัวจะหันหลังเดินจากไป เขาทารุณเขา นางจะไปหาอิงและลองถามเรื่องสิบแปดถ้ำแห่งทุ่งน้ำแข็งยังไม่ได้หรือ?
คิดไม่ถึงว่า ทันทีที่นางหันหลังไป เอวที่เพรียวบางก็ถูกแขนเหล็กหนีบเอาไว้เสียแล้ว
เฉินซ่า:"......"
"เจ้าจะไปไหน?"
"ข้าว่าท่านกำลังโมโหอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?"
"เจ้ารู้ด้วยหรือว่าข้าโมโหเรื่องอะไร?"
"ใครจะไปรู้เล่าเจ้าคะ" โหลชีกลอกตามองบน ใครจะไปรู้เล่าว่าทำไมเขาถึงโมโหขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้
"ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่อนุญาตให้อยู่ตามลำพังในห้องเดียวกับผู้ชายคนอื่น ลืมไปแล้วรึ?" ในน้ำเสียงของเฉินซ่ามีความโมโหที่เบาบางอยู่ในนั้นด้วย
โหลชี "......"
อย่าเป็นแบบนี้สิ นางอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอนั้นลึกซึ้งมาเพียงใดขึ้นมาจริงๆก็ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าไม่คิดอะไรจะหึงอย่างไม่มีมูลไปมั่วๆเพื่ออะไรกัน!
"นายท่าน มาเถอะ มาหารือเรื่องสิบแปดถ้ำแห่งทุ่งน้ำแข็งนั่นกับข้าหน่อยจะได้ไหม?"
ไม่ใช่ว่าเขากล่าวหาว่านางไม่เชื่อฟังและอยู่ในห้องกับผู้ชายคนอื่นตามลำพังอยู่หรอกหรือ? จะอธิบายก็ไม่อธิบายเลยสักคำ จะยอมรับผิดก็ไม่มี แล้วตั้งใจเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างนั้นหรือ?
เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อยไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็เอาแต่จ้องเขม็งมองนาง
โหลชีกอดแขนของเขาเอาไว้ราวกับหมาปักกิ่งตัวเล็กๆตัวหนึ่ง น้ำหนักตัวทั้งหมดแขวนอยู่บนตัวเขา แล้วเปิดโหมดน่ารักขึ้นมาอีกครั้ง "มาเถอะ มาหารือกัน ท้ายที่สุดยังไงท่านก็ต้องพาข้าไปด้วยอยู่ดี หารือกับข้าสักหน่อยถึงเวลานั้นจะได้ไม่ทำอะไรสะเปะสะปะไง"
นางอิงแอบแนบชิดเฉินซ่ามาตลอดทางแบบนี้จนกระทั่งเดินผ่านตำหนักสองไปแล้ว โดยไม่สนใจขากรรไกรล่างที่ลดต่ำลงของบรรดาองครักษ์และสาวใช้เหล่านั้นที่อยู่ระหว่างทางเลย หากเป็นเช่นนี้ จะต้องทำลายภาพลักษณ์อันเยือกเย็นที่อยู่ในใจพวกเขาของเฉินซ่าแน่ๆ
"อะไรนะ? มีไขหินพันปีอยู่จริงๆรึ?"
ณ วันนั้น ในตำหนักสามหลังจากที่เยว่ เสวี่ย อิงและหมอเทวดาได้ฟังคำพูดของโหลชีแล้วก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจพร้อมๆกัน
ไขหินพันปีนั้นเป็นเพียงสมบัติล้ำค้าที่อยู่ในคำเล่าลือเท่านั้น ซึ่งเล่าลือกันว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนมีคนเคยครอบครองมาแล้ว หลังจากนั้นกังฟูของเขาก็ก้าวหน้าอย่ารวดเร็ว แต่ทว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ใครจะไปรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่? เรื่องที่เล่าลือกันมานี้ ที่สุดแล้วอาจจะเล่าลือกันมาอย่างบิดเบือนก็ได้
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะมีข่าวแบบนี้ล้ำลือออกมาแล้วจริงๆ แม้แต่สถานที่ก็ยังมีเลย ข่าวนี้ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกตกใจ และนอกจากจะตื่นตระหนกตกใจแล้วก็พวกเขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจและตื่นเต้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ