บอดี้การ์ดเนื้อหอม ออกโรง! นิยาย บท 18

สรุปบท บทที่ 18 แพ้ราบคาบ: บอดี้การ์ดเนื้อหอม ออกโรง!

บทที่ 18 แพ้ราบคาบ – ตอนที่ต้องอ่านของ บอดี้การ์ดเนื้อหอม ออกโรง!

ตอนนี้ของ บอดี้การ์ดเนื้อหอม ออกโรง! โดย เทียนมาสิงคง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 18 แพ้ราบคาบ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

“ดี หลินฮ่าว แกมันใจกล้าดีนี่ ในเมื่อแกอยากเซ็น งั้นฉันก็จะสนองให้!” หงเฟยยิ้มเย็น พลางเอ่ยอย่างดูแคลน

เขาไม่เห็นหลินฮ่าวอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ สำหรับเขาแล้ว หลินฮ่าวก็เป็นแค่เด็กเลี้ยงที่เกาะผู้หญิงกิน มาเหิมเกริมที่นี่ ก็ไม่ต่างอะไรจากรนหาที่ตาย

หากระดาษและปากกามา แล้วเซ็นใบยินยอมการตาย จากนั้นหงเฟยก็ยื่นไปให้หลินฮ่าวทีเดียว เอ่ยว่า “แกก็เซ็นชื่อแกด้วยสิ ในเมื่อแกอยากตาย งั้นฉันก็จะสนองให้ แกคงไม่ใช่ไม่กล้าหรอกนะ?”

หลินฮ่าวรับใบยินยอมการตายมา พลันผุดยิ้มที่มุมปากอย่างขบขัน

“นานเท่าไหร่แล้ว? น่าจะสองปีสินะ! สองปีเต็ม! สองปีเต็มที่ไม่เคยได้ลงมือมาก่อน! คิดไม่ถึงเลย ว่าวันนี้จะมีคนใจกล้ามาท้าทายฉันถึงขนาดนี้!” หลินฮ่าวยิ้มขำเบาๆ พลางพูดกับตัวเองเสียงเบา

เขาหยิบปากกาขึ้น แล้วเซ็นตัวหนังสือสองคำบนกระดาษอย่างไม่ลังเล ชื่อ “หลินฮ่าว” พลันปรากฏบนหน้ากระดาษ

“โจวฉวน ดูใบยินยอมไว้ให้ดี!”

เมื่อเซ็นชื่อเสร็จ หลินฮ่าวก็ส่งใบยินยอมไว้ในมือโจวฉวนที่เดินไปอยู่อีกข้าง

โจวฉวนยื่นมือไปรับ แม้จะไม่เคยเห็นหลินฮ่าวลงมือ แต่เขากลับเชื่อมั่นในตัวหลินฮ่าว

แม้เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหงเฟย แต่เขาเชื่อ ว่าหลินฮ่าวจะสามารถสยบหงเฟยได้แน่ ๆ นี่คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง สัญชาตญาณของทหาร

ไม่ใช่แค่เขาที่มีสัญชาตญาณแบบนี้ เจ้าหน้าที่สองคนเมื่อกี้ที่ได้เห็นรังสีอันแข็งแกร่งของหลินฮ่าวก็รู้สึกแบบเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาเองก็เป็นส่วนน้อยในเหล่าเจ้าหน้าที่มากมาย ที่ไม่ได้ปริปากเชียร์หงเฟย

“เริ่มเถอะ!” หลินฮ่าวหันไปเอ่ยกับหงเฟยด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“หึ ในเมื่อแกอยากตาย งั้นก็อย่าลังเลอีกเลย!” เมื่อเห็นหลินฮ่าวเซ็นใบยินยอมการตายแล้ว ใบหน้าของหงเฟยก็ผุดยิ้มอำมหิต

มีใบยินยอมการตายนี่อยู่ในมือ แม้จะต่อยหลินฮ่าวจนพิการหรือตาย ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เขารู้สึกว่าวิธีการนี้ของเขานั้นช่างหลักแหลมจริงๆ

ทันใดนั้น เขาก็ขยับเท้าพุ่งไปยังหลินฮ่าวอย่างรวดเร็ว

หลินฮ่าวเอามือไขว้หลัง ไม่ขยับไปไหน ไม่ใช้มือเท้าทั้งสองข้างจริงๆด้วย

ทว่า ในขณะที่หงเฟยพุ่งตัวมาถึงตรงหน้าเขา แล้วปล่อยหมัดออกไป ฉับพลันนั้น หลินฮ่าวก็ขยับตัว

เขาเคลื่อนไหวร่างกาย ก่อนที่ผู้คนจะรู้สึกถึงคลื่นลมแรง ราวกับว่าพรั่งพรูออกมาจากตัวเขา

เร็ว นั่นคือความเร็วที่ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ เร็วจนเกิดกระแสลมที่แข็งแกร่ง

หลินฮ่าวหมุนตัวหลบหมัดของหงเฟย ก่อนจะแสดงท่าไม้ตายของมวย พุ่งตรงไปยังเอวของหงเฟยทีเดียว

“แกรก......”

เสียงกระดูกหักนั่น ทำให้คนรู้สึกหวาดเสียวจนขนลุกชัน

“ปัง......”

ร่างของหงเฟยพลันกระเด็นออกไปไกล

หลินฮ่าวขยับเท้า ก่อนจะกระโดดตัวขึ้นกลางอากาศ แล้วพุ่งไปข้างหน้า

ร่างของหงเฟยกระทบพื้น หลินฮ่าวเองก็เหยียบลงมา

กำลังแรงทั้งหมด ถูกรวบรวมไปยังแผ่นหลัง ก่อนจะหล่นทับลงมา เทียบได้กับแรงกดทับนับพันกรัม

ทันใดนั้น พลังแรงทั้งหมดพลันกระแทกลงบนแผ่นอกของหงเฟย

“แกรก.....”

พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าต่อหน้ายอดฝีมืออย่างหลินฮ่าว พวกเขาเทียบไม่ได้แม้แต่กับตดหมาเลยด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ ถ้าใครยังมีความเห็นต่างอีก ก็ก้าวเดินออกมาซะ มีทางเลือกเดียวกันให้พวกนายเลือก เซ็นใบยินยอมการตายแล้ว ก็มาท้าฉันสู้ได้เลย!” หลินฮ่าวเอามือไขว้หลัง พลางเดินมาเอ่ยตรงหน้าเจ้าหน้าที่เหล่านั้น

พวกเจ้าหน้าที่หดคอกันแทบจะในเวลาเดียวกัน

ตลกหรือไง ในสถานการณ์แบบนี้ จะยังมีใครกล้าพูดอะไรอีก?

แม่เจ้า ไม่เห็นหงเฟยที่เก่งกาจ ถูกล้มจนแทบสิ้นลมหายใจ โดยที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะขยับมือเลยหรือไง? ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้ายังไปเซ็นใบยินยอมการตายท้าทายอีก ก็ไม่ต่างอะไรจากรนหาที่ตายชัดๆ

เจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างก้มหน้าลงพร้อมกัน สงบปากสงบคำไม่กล้าพูดอะไรอีก

“เจ้าพวกขี้ขลาด!” หลินฮ่าวสบถด่าอย่างไม่ไว้หน้า

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้ยินดังนั้นก็เอาแต่ก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะปริเสียง

ทุกคนต่างเคยเป็นทหารมาก่อน เคารพและศรัทธาผู้แข็งแกร่ง หลินฮ่าวมีความสามารถที่ทำให้พวกเขายอมจำนนได้ งั้นไม่ว่าหลินฮ่าวพูดอะไร ก็ถูกต้องทั้งนั้น ด่าว่าพวกเขาเป็นพวกขี้ขลาด งั้นพวกเขาก็คือพวกขี้ขลาด เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปต่อต้านขัดขืนเขาได้

“เอาล่ะ ฉันไม่อยากพูดอะไรมาก และไม่มีอารมณ์มาถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วย แต่พวกนายต้องจำคำที่ฉันพูดในวันนี้ไว้ให้ดี ไม่งั้น ถ้าวันอื่นเกิดเรื่องชวนเสียบรรยากาศอะไรขึ้นอีก ก็อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้าใคร!”

หลินฮ่าวแค่นเสียงเย็น ก่อนจะเอ่ยทีเดียวไม่มีเกริ่นว่า “จากนี้ไป พวกนายเลือกที่จะไปจากบริษัทเทียนหยู หรือเลือกที่จะอยู่ต่อก็ได้ ฉันไม่ได้ตั้งแง่ใส่พวกนาย แต่พวกนายต้องจำไว้ ว่าก่อนหน้า พวกนายเคยเป็นทหารมาก่อน ทหาร มีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเองก็เป็นทหาร สิ่งที่ทหารต้องปกป้องคือบ้านเมือง ส่วนสิ่งที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องปกป้องก็คือทรัพย์สินของบริษัท ในเมื่อบริษัทเลี้ยงดูพวกนาย พวกนายก็ควรที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อบริษัท รวมถึงชีวิตของพวกนายด้วย เพราะพวกนายไม่ใช่ทหารของประเทศชาติ พวกนายไม่จำเป็นต้องปกป้องบ้านเมือง ทว่า พวกนายคือทหารของบริษัท ดังนั้นพวกนายจึงจำเป็นต้องปกป้องบริษัท!”

“บนโลกนี้ มีสามอาชีพ ทว่าล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน ทหาร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือบอดี้การ์ด แท้จริงแล้วต่างก็มีหน้าที่ปกป้องคนอื่น ได้รับผลตอบแทนจากคนอื่น แลกกับการปกป้องทรัพย์สินของคนอื่น ทหารได้รับผลตอบแทนจากประเทศชาติ เพราะปกป้องทรัพย์สินของประเทศชาติ บอดี้การ์ดได้รับผลตอบแทนจากเจ้านาย เพราะปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของเจ้านาย ส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผลตอบแทนที่พวกนายได้ก็คือทรัพย์สินของบริษัท พวกนายต่างเป็นคนประเภทเดียวกัน เป็นทหารเหมือนกัน ในเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้ว พวกนายก็ต้องฟังคำสั่ง!”

หลินฮ่าวเผยแววตาเยือกเย็น กวาดตามองคนเหล่านี้ทีละคน ก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันไม่สนว่าคนอื่นจะยังไง ฉันรู้แค่ว่า เมื่อทำงานเป็นลูกน้องฉัน ก็ต้องทำตัวให้สมกับคนทำงาน นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกนายก็คือทหาร การฝึกฝนและหน้าที่ของทหาร พวกนายต้องปฏิบัติทั้งหมดห้ามขาดตกบกพร่อง และตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ถ้าฉันพบว่ามีจุดบกพร่องอะไร ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”

พูดถึงตรงนี้ หลินฮ่าวก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่อว่า “คนที่คิดว่าฉันเคร่งครัด ก็สามารถไปจากเทียนหยูได้ ส่วนคนที่จะอยู่ต่อ ก็ต้องปฏิบัติตามแผนการฝึกฝนที่ฉันกำหนดไว้ให้ แน่นอน ว่ามีทั้งการให้รางวัลและการลงโทษ ในเมื่อภาระงานของพวกนายยากขึ้นกว่าเดิม งั้นเงินเดือนของพวกนายก็จะถูกเพิ่มตามไปด้วย เรื่องนี้ ฉันจะไปเสนอกับประธานอวี้เอง ตอนนี้ พวกนายก็เลือกเอาเองเถอะ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บอดี้การ์ดเนื้อหอม ออกโรง!