บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 272

เมื่อมวลฝุ่นนิ่งสงบและความจริงถูกเปิดเผย ภาพในวันวานก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง

ภาพที่เซ่าตี้ทรงขี่มังกรเขียว อุ้มเย่จายซิงกลับมายังเฉินตูในวันนัั้้น แม้แต่รายละเอียดต่างๆ ยังดูเหมือนจะขยายกว้างในจิตใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

มือที่ห้อยตกไร้เรี่ยวแรงของเย่จายซิง ผิวที่ซีดขาวไร้สีเลือดบนมือ รวมไปถึงเส้นเลือดเขียวที่ปูดโปนขึ้นจากความอุตสาหะอย่างหนัก

วินาทีนั้นนางเหมือนตุ๊กตาผุพังที่ขาดชีวิตชีวา ดูราวกับไม่มีแม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจ

ตั้งแต่บรรพกาลนานมาจนบัดนี้ วิชาลับที่ใช้เร่งการเลื่อนขั้นวรยุทธล้วนมีคุณสมบัติในการทำลายตนเองอย่างมหาศาล บางวิชาหลังใช้เสร็จแล้วถึงขั้นร่างแตกสลายจนสิ้นชีพได้เลย

เมื่อนึกดูจึงรู้ว่าเย่จายซิงในวันนั้น อ่อนแอเพียงใด

นางจ่ายให้ด้วยราคาที่มากมายเพียงนั้น สุดท้ายกลับได้รับเสียงครหานับไม่ถ้วน

ผู้คนรู้สึกผิด เสียใจ และนึกเหยียดหยามความคิดของตนในใจ

เซ่าตี้สูญเสียอายุขัยไปหลายพันปี ส่วนเย่จายซิงก็เกือบจะต้องสังเวยชีวิตเป็นราคา ถึงมีความสงบสุข และไม่ผวากันทุกเมื่อเชื่อวันอีกต่อไปดังเช่นวันนี้

ทว่าพวกเขากลับสงสัยว่าเซ่าตี้จงใจหลอกลวง ยกเอาม่านอาคมผืนนั้นขึ้นมาอ้าง เพื่อจะได้อภิเษกให้เย่จายซิงเป็นชายา

ถึงขั้นที่ พวกเขาสงสัยว่าเย่จายซิงใช้วิธีสกปรกโปรยเสน่ห์ใส่เซ่าตี้ ทำให้เขากลายเป็นคนหลอกลวงอีกต่างหาก

ท้ายที่สุด ทุกอย่างล้วนเป็นความคิดไปเองของพวกเขา

เซ่าตี้ไม่ได้โกหกตั้งแต่แรก

และก่อนหน้านี้ เย่จายซิงเองก็ยังไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนร่ายม่านอาคม จึงยิ่งไม่มีเหตุผลให้ไปชุบมือเปิบใคร

“ขออภัยด้วย แม่นางเย่ ท่านโปรดให้อภัยแก่ความไม่รู้และความบุ่มบ่ามของพวกเราด้วยเถิด!”

“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทานเสียสละเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์!”

“พวกเราสนับสนุนให้ท่านเป็นสนมของเซ่าตี้ มีเพียงท่านเท่านั้นที่มีคุณสมบัตินี้!”

ทุกคนกล่าวขอโทษด้วยใจจริง

ลั่วกูหยุนและเย่ยู่หยางสองคน ต่างมีความรู้สึกภาคภูมิเชิดฉาย ในที่สุดกลิ่นอายความตึงเครียดนั่นก็สลายไปกับอากาศแล้ว

แต่ในใจของเย่จายซิงไม่ได้ตื้นตันแต่อย่างใด นางเข้าไปยังโลกปีศาจ เพราะเสด็จอา แม้ใจจริงจะไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกทำลาย แต่ความตั้งใจเดิมของนางไม่ใช่เพื่อปกป้องพวกเขา หากแต่อยากจะช่วยเสด็จอาเท่านั้น

ต่อให้ความซาบซึ้งของพวกเขาจะจริงใจเพียงใด ก็ไร้ความหมาย มีคำกล่าวว่า ความจริงใจที่ล่าช้านั้นราคาถูกกว่าหญ้า การสำนึกบุญคุณที่ล่าช้าก็เช่นกัน

แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของหลีฉือและคนอื่นๆ นางก็สาแก่ใจยิ่งนัก

“พวกท่านไม่ต้องขอโทษ และไม่ต้องคุกเข่าด้วย ลุกขึ้นให้หมดเถิด อย่างไรคนที่บังคับให้ข้าคุกเข่าก็ไม่ใช่พวกท่าน แต่เป็นคนอื่น”

สายตาของนางมองทอดไปทางหลีฉือ

หลีฉือลีบตัวเข้าไปในฝูงชน คิดจะฉวยโอกาสชุลมุนหนีไป เขาถูกหักหน้าต่อหน้าธารกำนัล ไม่อาจหาทางลงได้ ไม่กล้าอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน

ทันทีที่สิ้นเสียงของเย่จายซิง ทุกคนก็มองตรงไปที่เขา แล้วพากันชี้หน้าด่า :

“ใช่เลย เขานั่นแหละที่จงใจเสี้ยมพวกเราให้เข้าใจแม่นางเย่ผิด! เขามีเจตนาไม่ดี!”

“ถึงขั้นกล้าให้แม่นางเย่คุกเข่า เจ้าคู่ควรแล้วรึ?”

“คนผู้นี้ยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเมฆแดง ข้าว่าคุณธรรมของสำนักเมฆแดงคงถูกสุนัขกินไปหมดแล้วล่ะ เซ่าตี้กับแม่นางเย่ช่วยเหลือมวลมนุษย์ไว้ กลับให้ร้ายพวกเขาเช่นนี้ ช่างอำมหิตจริงๆ!”

“รีบคุกเข่าขอโทษแม่นางเย่เร็วเข้า!”

“ใช่แล้ว รีบคุกเข่าลงเร็วเข้า!”

หลีฉือหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว แววตาเกรี้ยวกราด เขาเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ หากคุกเข่าให้เย่จายซิง แล้วต่อไปจะเหลือศักดิ์ศรีอันใดให้พูดถึงเล่า?

เขาไม่มีทางคุกเข่าให้เย่จายซิงเด็ดขาด!

เขาแค่นเสียงเอ่ยว่า :

“น่าขันนัก ข้าจะมีความผิดได้อย่างไร คำเหล่านี้ล้วนถูกส่งออกมาจากราชสำนัก ข้าเพียงเชื่อสิ่งที่ได้ฟังก็เท่านั้น แล้วข้าก็ไม่ได้ชักนำความเห็นชาวบ้านด้วย อีกอย่าง ราชสำนักพูดเช่นนี้ ก็แสดงว่าพวกเขาไม่โปรดปรานเย่จายซิง ยิ่งไม่อาจให้เซ่าตี้อภิเษกนางเป็นชายา ก็แค่สนมคนหนึ่ง พวกเจ้าจะประจบอะไรกันนักหนา!”

ฟิ้ว!

ขณะนั้นเอง ลูกธนูสีดำดอกหนึ่งก็แหวกเวหาพุ่งเข้ามา แล้วแล่นเข้าแทงทะลุหัวใจของหลีฉือ ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา