บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 381

"ข้าทำเองดีกว่า"

เย่จายซิงรีบหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า ล้างหน้าล้างตา

หลังล้างเสร็จนางก็ถามโม่เสิ่นยวนว่า: "ก่อนหน้านี้ข้าให้ท่านเช็ดหน้าให้ข้าเช่นนี้ด้วยหรือ?"

มีความรู้สึกว่าแบบนี้เหมือนตัวเองแขนพิการอย่างไรก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้นางไม่น่าจะทำเช่นนี้หรือเปล่า

โม่เสิ่นยวนหัวเราะในลำคอ เอ่ยว่า: "ปกติข้าจะฉวยโอกาสตอนเจ้าสะลึมสะลือจากการเพิ่งตื่นนอน เช็ดหน้าให้เจ้าตลอด เจ้าในตอนนั้นจะค่อนข้างเชื่อฟัง"

เย่จายซิงจินตนาการภาพนั้นแล้ว พวงแก้มก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย

ว่าแต่ ไม่ใช่ว่าเขากับนางเพิ่งแต่งงานกันได้ครึ่งเดือนกว่าเองหรอกหรือ? ก่อนแต่งงานก็สนิทสนมกันเพียงนี้แล้วหรือ?

อีกอย่างลูกก็อยู่ในครรภ์ก่อนแต่งงานกันด้วย วันที่นางปรากฏตัวที่สำนักเฉียนคุนวันนั้น คือวันพิธีแต่งงานใหญ่ของเขาและนาง

นางยังไม่รู้ว่าที่มีลูกได้เพราะนางเป็นฝ่ายรุกก่อน หากรู้เข้า คงจะยิ่งรู้สึกเขินอายกว่าเดิมอีกแน่ๆ โม่เสิ่นยวนจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับนางเลย

ตอนนี้บทสนทนานี้ค่อนข้างสองแง่สองง่าม เย่จายซิงจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที "หอมจัง ท่านทำอะไรหรือ?"

มีกลิ่นหอมลอยโชยเข้ามาจากด้านนอก พอได้กลิ่นนี้ นางก็เริ่มหิวขึ้นมาเลย

"ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่เจ้าชอบกินก่อนหน้านี้อย่างไรเล่า ข้าใส่กะหล่ำปลีดองลงไปต้มด้วยนิดหน่อย เจ้าน่าจะชอบ"

โม่เสิ่นยวนเดินออกไปยกก๋วยเตี๋ยวสองชามเข้ามา

ทันทีที่ยกเข้ามา เย่จายซิงก็กลืนน้ำลายลงอึกหนึ่ง

หอมมาก ยั่วน้ำลายสุดๆ

นางรู้สึกว่าโม่เสิ่นยวนช่างเอาใส่ใจยิ่งนัก รู้ว่านางชอบกินของเปรี้ยว ก็พยายามทำของที่นางอยากกินมาจนได้

เดิมทุกเช้านางจะมีอาการคลื่นไส้เล็กน้อย กินมื้อเช้าไม่ลง ทว่าตอนนี้นางคิดว่านางสามารถกินก๋วยเตี๋ยวกะหล่ำดองชามนี้ได้หมดชามเลย

กลิ่นก๋วยเตี๋ยวหอมนัก พอเอาเข้าปาก เย่จายซิงก็รู้เลยว่ามันคือรสชาติที่นางโปรดปราน เส้นก๋วยเตี๋ยวบางเล็ก มีความหนึบหนับ ในชามมีลูกชิ้นปลาเป็นลูกๆ ชิ้นที่ขายข้างนอกยังเล็กกว่า เป็นขนาดที่นางสามารถกินได้พอดีคำ

ลูกชิ้นปลาเด้งกรอบ นุ่มลิ้น ไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย เข้ากับซุปกะหล่ำดองได้เป็นอย่างดี กินไปหกคำล้วนไม่รู้สึกถึงความเลี่ยนเลย

ไม่นาน ก๋วยเตี๋ยวกะหล่ำดองทั้งชามก็ถูกนางกินจนหมดเกลี้ยง

กินเสร็จร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง แถมอารมณ์ยังดีมากอีกด้วย

เห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย โม่เสิ่นยวนก็เจริญอาหารดียิ่งเช่นกัน

หลายวันมานี้ เขาทำอาหารเปลี่ยนรสฃาติให้นางกินอยู่ตลอด เย่จายซิงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะเอิบอิ่มกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่านางคิดไปเองหรือไม่

"น้องซิง เรามาถึงแล้ว"

วันนี้ เรือทิพย์จอดอยู่ด้านอกเมืองที่ปกคลุมไปด้วยทรายสีเหลือง

แคว้นกู่โหมวตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายปัจฉิมทิศ ที่นั่นมีแหล่งน้ำมากกว่าสิบแห่ง จนพัฒนาก่อเกิดเป็นบ้านเมืองขึ้นมามากมาย

แต่ได้ยินมาว่าก่อนที่จะมีแหล่งน้ำ แคว้นกู่โหมวนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว ชาวเมืองเหล่านั้นอาศัยอยู่ใต้ผืนทะเลทราย เร้นกายยามกลางวัน ปรากฏกายยามค่ำคืน ใช้ชีวิตเยี่ยงอสรพิษทราย

บรรพบุรุษของพวกเขาปรับตัวเข้ากับทะเลทรายได้เนิ่นนานแล้ว ไม่ต้องมีน้ำก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้

และหลังจากมีผู้ฝึกตน ก็สามารถใช้วรยุทธอันทรงพลังเรียกน้ำมาได้ และสามารถใช้ยันต์ทิพย์เสกน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการได้ด้วย

แหล่งน้ำของแคว้นกู่โหมวเหล่านั้น ก็คือแหล่งน้ำที่ผู้ฝึกตนในอดีตเคลื่อนย้ายมาด้วยพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ตอนนั้นเย่จายซิงก็ถือกำเนิดในที่แห่งนี้ ก่อเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในใต้หล้า ฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมานับร้อยปี ต้นไม้เหี่ยวเฉาเติบโตยืนต้น สัตว์นานาพันธ์ุร่วมใจขับขานพร้อมเพรียง

เมื่อกษัตริย์แห่งแคว้นกู่โหมวทรงทราบ ก็พระราชทานนามกู่หลิงที่เป็นชื่อรากทิพย์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแก่พระธิดา ทุกชนชั้นทั่วอาณาจักรล้วนมองนางเสมือนทวยเทพ

"คิดไม่ถึงว่าแคว้นกู่โหมวยังมั่งคั่งรุ่งเรืองอีกด้วย"

ระหว่างทางมายังเมืองหลวงของแคว้นกู่โหมว เห็นตึกรางบ้านช่องอันองอาจครั่นครามเรียงรายเป็นแถวๆ เย่จายซิงก็กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย

"ในแคว้นกู่โหมวอุดมไปด้วยชาดชั้นเลิศ ชาดที่อาจารย์ยันต์ทิพย์ทั่วทั้งใต้หล้าต้องการ ล้วนมาจากแคว้นกู่โหมวทั้งนั้น"

โม่เสิ่นยวนอธิบายให้นางฟังอย่างนุ่มนวล

แคว้นกู่โหมวอาศัยผงชาดทำให้บ้านเมืองมั่งคั่งร่ำรวย จนกลายเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่ง

นางถึงบางอ้อในทันที ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ถึงว่าสภาพภูมิศาสตร์ที่นี่เลวร้ายเพียงนี้ แต่สภาพการเป็นอยู่ของคนที่นี่กลับไม่ย่ำแย่เลยสักนิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา