บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 390

สิ่งที่ควรพูดได้พูดไปหมดแล้ว หลังจากเย่จายซิงกับโม่เสิ่นยวนผงกศีรษะให้หนานกงจิ่นและคนอื่นๆ ก็กลับขึ้นเรือทิพย์ไป

สองคนกับร่มหนึ่งคัน เพียงแค่เงาแผ่นหลัง ต่างทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเหมาะสมกันเหลือเกิน

แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่าสองคนนี้สมองทึบ หน้าตาดูดีทั้งคู่ เสียดายก็แต่คำพูดและการกระทำน่าขบขัน

โดยเฉพาะแม่นางทรามวัยผู้นั้น นึกว่าตัวเองเป็นศิษย์ใหม่ของอาจารย์ยันต์เทพโจวก็จะโค่นเทพธิดาลงได้อย่างนั้นหรือ

เทพธิดาเริ่มวาดยันต์มาตั้งแต่อายุสิบขวบ จนถึงบัดนี้ก็อยู่ขั้นหกแล้ว พรสวรรค์สูง พื้นฐานแน่น การแข่งกับเทพธิดา ก็คือการนำความอัปยศมาสู่ตัวเองล้วนๆ

หนานกงจิ่นได้ยินถ้อยคำไม่น่าฟังของคนโดยรอบ ก็นิ่วหน้า แล้วเอ่ยเสียงดังว่า:

"ทุกท่าน แม่นางเย่ไม่ใช่คนพูดจาลอยๆ พร่ำเพื่อ ในเมื่อนางพูดขนาดนี้แล้ว แสดงว่านางมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเทพธิดาได้ ข้าเองก็เชื่อในตัวนางเช่นกัน"

ทุกคนมองตากันสลับไปมา ไม่คิดเลยจริงๆ ว่านายน้อยหนานกงจะเชื่อมั่นในตัวแม่เย่จายซิงนั่นด้วย คนตาดีต่างก็มองออกทั้งนั้น เห็นๆ อยู่ว่าเทพธิดากู่หลิงต่างหากคือผู้ที่มีความสามารถไร้ที่ติ

แต่ทุกคนไม่ได้คัดค้านคำพูดของเขาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะหากไม่ใช่เขาที่ใช้พลังทิพย์กระตุ้นปลุกทุกคน เมื่อครู่พวกเขาก็คงหนีออกมาไม่ได้

เสียงพิณที่ดังขึ้นจากในสุสาน สามารถทำให้ผู้คนเกิดภาพลวงตาได้ ซ้ำภาพลวงตาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บ้างเห็นทรัพย์สมบัติเงินทอง บ้างเห็นคนที่อยากเจอมากที่สุด วินาทีนั้น ทุกคนล้วนจมดิ่งอยู่ภาพลวงตา แก่งแย่งกันเข้าไปในทางเดินสุสาน

ต่อมาพวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามของอสูรตัวมหึมา ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ตายอยู่ในท้องของอสูรยักษ์ตนนั้น

อสูรยักษ์ตนนั้น ดูท่าคงจะเป็นอสูรพิทักษ์สุสารเป็นแน่

หนานกงจิ่นไม่ได้พูดเรื่องของเย่จายซิงมากมายอะไรอีก ก่อนเปลี่ยนมาถามถึงเหตุการณ์ในสุสาน โดยไม่ข้ามรายละเอียดใดๆ ไปเลย

ตอนนี้ผู้อาวุโสในตระกูลของพวกเขาคนหนึ่งยังติดอยู่ในสุสาน ไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งออกมา เป็นไปได้ว่าอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส และซ่อนตัวอยู่ที่มุมใดสักแห่ง

เนื่องจากตะเกียงวิญญาณยังไม่ดับสลาย ตระกูลจึงไม่ยอมเห็นเขาติดอยู่ในสุสานจนตายไปต่อหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยเขาออกมาให้ได้

จึงยังต้องเข้าไปในสุสานอยู่ ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้น ค่อยลงไปสุสานอีกครั้ง

คำพูดของหนานกงจิ่นเมื่อครู่ ไปกระตุกต่อมโมโหของเทพธิดากู่หลิงเข้า เห็นเขานำตัวคนมาซักถามรายละเอียดด้านล่าง นางก็เค้นเสียงหัวเราะเอ่ยว่า:

"นายน้อยหนานกง วันนี้สูญเสียคนตั้งมากมายเพียงนี้ ท่านยังคิดจะลงไปยังสุสานอยู่อีกรึ?"

"ผู้อาวุโสของตระกูลยังติดอยู่ในนั้น แน่นอนว่ายังต้องลงไปในสุสานอีก"

หนานกงจิ่นกล่าว

"ภัยอันตรายในสุสานโบราณ ทุกคนก็ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว คนที่ข้าพาเข้าไปวันนี้ตายอยู่ข้างในกันหมด ฝ่าบาทไม่มีทางให้กองหนุนเจ้าเพิ่มอีกแน่นอน

คนไม่ได้ลงไปสุสานที่เหลืออยู่ ข้าก็จะนำกลับไปด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียนี่มันก็ชีวิตเลือดเนื้อของคนทั้งคน ยอมให้นายน้อยหนานกงเอาไปทรมานไม่ได้หรอก หากนายน้อยหนานกงดึงดันจะลงไป ก็พาคนของตัวเองลงไปแล้วกัน อภัยข้าด้วยที่ไปด้วยไม่ได้แล้ว"

เทพธิดากู่หลิงเอ่ยเสียงดัง แล้วชูป้ายราชโองการของฮ่องเต้ ให้คนเหล่านั้นมารวมพลกันทันที ก่อนเตรียมจะเดินกลับ

เสวียนหยวนป๋ายเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาลว่า: "นังตอแหล เจ้าอย่ารังแกกันให้มากนัก กำลังเสริมเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ฮ่องเต้พวกเจ้าส่งมา เจ้าถือสิทธิ์อะไรถึงจะพากลับไปตามใจชอบ!"

"ใจข้าห่วงใยชาวบ้านตาดำๆ ในใต้หล้า ทนเห็นผู้บริสุทธิ์ตายอย่างอนาจไม่ได้ สุสานนี้เป็นสุสานอาถรรพ์ เห็นกันอยู่ว่าลงไปไม่ได้ เรื่องจะทิ้งพวกเขาให้ตระกูลหนาานกงส่งไปตาย ข้าทำไม่ได้หรอก!"

เทพธิดากู่หลิงจีบปากจีบคอพูด

ก็ถ้านางไม่อยากให้คนช่วยตระกูลหนานกง ดูสิว่าเขาจะทำอย่างไร!

ใครให้เขาเกลียดชังตนเล่า แถมยังช่วยนังแพศยาสกุลเย่นั่นอีกต่างหาก

นี่คือผลกรรมของการขัดใจนาง

"จริตจะก้านของเจ้านี่ ช่างชวนสะอิดสะเอียนสิ้นดี!"

เสวียนหยวนป๋ายมองนังเทพธิดาตอแหลนี่แล้วก็รู้สึกนึกรังเกียจนัก

เทพธิดากู่หลิงขบฟันกรามแน่น คิดในใจว่าสักวันต้องจับเจ้าเสวียนหยวนป๋ายนี่มาทรมานทารุณให้แสนสาหัสสักครา ให้มันรู้ซึ้งซะบ้าง

"ต้าป๋าย ไม่ต้องทะเลาะกับนางแล้ว"

หนานกงจิ่นขวางเสวียนหยวนป๋ายที่ยังอยาก "ถกเถียง" กับเทพธิดากู่หลิงอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา