ห้วงกาลเวลาของ โม่เสิ่นยวนเต็มไปด้วยผักและผลไม้ แต่ทุ่งแตงและแปลงผักนั้นกลับสะอาดสะอ้าน ต้นไม้ผลไม้และเถาวัลย์ก็เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
ถ้าไม่ใช่เพราะชี่ทิพย์ที่มากมากของที่นี่ เย่จายซิง คงคิดว่านี่เป็นสวนในชนบท
“ห้วงกาลเวลาของเสด็จอาดูเหมือนจะใหญ่โตกว่าของข้าเล็กน้อย
นางพูดพลางมองไปรอบๆ
“อืม ฝั่งนั้นเป็นที่บำเพ็ญของข้า น้องซิงอยากไปดูหรือไม่?”
โม่เสิ่นยวนชี้ไปยังเรือนหลายหลังที่อยู่อีกฝั่ง
นางรีบพยักหน้า เพราะอยากรู้มากว่าปกติแล้วเขาบำเพ็ญยังไง
หลังที่เขาชี้ไปคือเรือนไม้ไผ่ ซึ่งดูโทรมมาก
แต่เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ ด้านหลังยังมีป่าไผ่ด้วย และเรือนไม้ไผ่หลังนี้มีห้วงนึกคิดที่เป็นส่วนตัวมาก
นอกจากนี้ เรือนไม้ไผ่ก็ไม่ใช่เรือนไม้ไผ่ธรรมดา ๆ มีความสุกใสอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ต้นไผ่เขียวขจีเสมือนเคลือบแก้ว
“นี่เป็นไผ่แก้วจริงๆ หรือ ข้าได้ยินมาว่าไผ่แก้วเป็นวัสดุชั้นดีสำหรับการกลั่นภัณฑ์ ไผ่แก้วต้นเดียวสามารถขายได้ในราคาหินทิพย์ชั้นหนึ่งหลายสิบล้านก้อน”
นางสัมผัสเรือนไม้ไผ่และกล่าวว่า
ไผ่แก้วเมื่อสัมผัสรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น
“เป็นไผ่แก้ว กระบี่เด็ดดาวของน้องซิง ตอนที่ตีให้ขึ้นรูปข้าก็ใส่ลงไป”
โม่เสิ่นยวนจูงมือนางเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเข้าไป ก็จะเป็นเตาไฟกลั่นภัณฑ์ที่สูงใหญ่ ด้านข้างก็เรียงรายด้วยเครื่องมือต่างๆ
รู้ได้เลยว่าปกติเขาจะกลั่นภัณฑ์อยู่ที่นี่
สถานที่กลั่นภัณฑ์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเรียบร้อย แต่ที่นี่ของเขากลับเป็นไร้ที่ติมาก สะอาดและสบายตา
“ที่นี่คือที่ที่ข้าบำเพ็ญและพักผ่อนเป็นครั้งคราว”
เขาพานางไปที่ห้องที่อยู่ทางซ้าย ยังคงกะทัดรัดมาก มีเพียงเตียงเดียวและโต๊ะเก้าอี้
“อีกด้านเป็นมุมที่ข้ามักจะอ่านหนังสือหรือวาดยันต์”
เย่จายซิงไม่ได้รีบร้อนจากไป นางเดินไปรอบๆห้องเล็กๆนี่ มีร่องรอยการใช้ชีวิตของเขาอยู่ เก้าอี้ริมหน้าต่างที่เขานั่งประจำ มีเบาะรองนั่งอยู่หนึ่งอัน ซึ่งน่าจะนั่งมานานมากแล้ว
นางนั่งลงไป มองไปด้านนอกจากมุมมองของเขา ล้วนเป็นสวนผักที่กว้างใหญ่ นางเม้มริมฝีปากและยิ้ม
“ห้วงกาลเวลาของเสด็จอาติดดินเกินไปแล้ว”
ในใจกลับคิดว่า วันที่เสด็จอาอยู่ในห้วงกาลเวลา ช่างน่าเบื่อจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาใจเย็นได้ยังไง
เมื่อไปที่ห้องตำรา นางพบว่า ก็ยังคงกะทัดรัดเช่นเคย มีตำราอยู่บนชั้นวาง แต่มีไม่มาก ประมาณร้อยเล่มได้
แต่ตำราร้อยเล่มนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ช่างหายากในโลกนี้
“ตำราที่ข้าสะสมมีไม่มาก ตำราทั่วไปก็ไม่สามารถวางบนชั้นของข้าได้”
เย่จายซิงพลิกตำราไปมา ก็รู้ว่าที่เขาบอกว่าธรรมดา หมายถึงหนังสือที่คนภายนอกนั้นอยากได้กันล้วนไม่เข้าตาเขา
ดูเหมือนว่าเขาจะได้เรียนรู้อะไรมากมาย และเขามีเครื่องมือในการกลั่นภัณฑ์ กลั่นโอสถ วาดยันต์ ตำราหลอมจิต และอื่นๆล้วนมีหมด
มีหนังสือหลอมจิตวางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งแสดงว่าครั้งก่อนที่เขาเข้ามาให้ห้วงกาลเวลา เขาได้อ่านมัน
นางดึงเขาให้นั่งลงที่โต๊ะ แล้วนั่งลงบนตักของเขาอย่างไม่เกรงใจ
ตัวของโม่เสิ่นยวนตั้งตรง ยกมุมปากขึ้นสูง ยื่นมือออกไปโอบเอวนาง เพราะกลัวว่านางจะลงไป
“กอดแน่นอะไรขนาดนี้ ข้าไม่ลงไปหรอก นั่งบนตักของที่รักของข้า ไม่ใช่หลักการฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอกหรือ?”
นางพูดอย่างซุกซน
ไม่สามารถให้เขามาหยอกล้อตนอยู่เสมอ ตัวเองต้องให้เขาได้ลิ้มรสชาติการถูกหยอกล้อบ้าง
เขาเคลื่อนหน้าผ่านต้นคอ และเอ่ยว่า “ใช่” อย่างมีความสุข
น้ำเสียงคำว่า “ใช่” ทุ้มต่ำมาก
เหตุใดไร้ยางอายอย่างนี้?
เย่จายซิงหัวเราะเยาะ เอาแขนโอบรอบคอแล้วถามเขาว่า:
“ท่านควรเล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟังได้แล้วใช่หรือไม่?”
สิ่งที่เขาพูดกับนางส่วนใหญ่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาหรือเกี่ยวกับนาง และไม่ค่อยเกี่ยวกับเขา
เมื่อนางไม่ถาม เขาก็จะไม่มีทางพูดขึ้นมาเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...