จุลสุเมรุ?
สายตาเย่จายซิงเต็มไปด้วยความสงสัย
ยังไม่ทันรอให้นางยิงคำถามจวินหยวนก็ยอกนางว่า:
“จุลสุเมรุสร้างขึ้นจากพลังมหาศาลโบราณ เป็นโลกใบเล็กที่อิสระ ทั้งหมดเป็นความจริง แต่สิ่งมีชีวิตที่นี่หากไปจากโลกใบเล็กนี้ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้”
นางดูเข้าใจขึ้น อดอัศจรรย์ใจไม่ได้ว่าในโลกใบนี้จะมีโลกใบเล็กอิสระอยู่
อันที่จริงคนเราถ้าอยู่ในโลกแบบนี้ไปชั่วชีวิต ไม่รู้ความไพศาลของโลกภายนอก ก็ไม่เห็นจะเลวร้ายตรงไหน ที่นี่ มนุษย์กับสัตว์เกิดแก่เจ็บตาย มีวัฏจักรของตัวเอง ไม่มีความปรารถนา เหมือนดั่งดินแดนดอกท้อที่คิดเอาไว้
“ทว่าที่นี่เหมือนไม่มีร่องรอยมนุษย์อาศัยอยู่”
นางกล่าว
จวินหยวนพยักหน้า ชมว่านางช่างสังเกต
“จุลสุเมรุไม่ใช่ที่อาศัยของมนุษย์ มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ในโบราณกาล จุลสุเมรุเป็นสถานที่สำหรับเลี้ยงวิญญาณ”
“อะไร?”
เลี้ยงวิญญาณ?
เช่นนั้นก็ไม่ต่างกับ ธงเลี้ยงวิญญาณสิ?
เย่จายซิงตะลึงไปชั่วครู่ เมื่อครู่นางเพิ่งรู้สึกเหมือนแดนเซียน ตอนนี้รู้สึกบรรยากาศมืดครึ้ม ราวกับมีวิญญาณอยู่ข้างหลัง
ปฏิกิริยาของนางทำให้มุมปากของจวินหยวนกระตุกขึ้น แกล้งเป่าลมปากไปที่ลำคอของนาง
ซื๊ด!
เย่จายซิงตกใจ ไม่นึกว่าจวินหยวนที่สุขุมเยือกเย็นจะล้อเล่นกับนางเช่นนี้ ไม่ใช่บุคลิกของเขาเลย
หากองครักษ์ลับของเขามาเห็นฉากนี้เข้า คาดว่าลูกตาต้องถลนออกมาแน่ คงคิดว่าเจ้านายของตัวเองถูกใครดูดวิญญาณไปแล้ว
จวินหยวนคิดไม่ถึงว่านางจะตกใจขนาดนี้ หน้าซีดเผือด นัยย์ตาฉายแววตระหนก พยายามปลอบนาง แล้วก็เห็นนางสบถหัวเราะ ดวงตาที่สว่างเหมือนดวงดาวกลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
เขาก็หัวเราะตามด้วย
เย่จายซิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางหัวเราะอะไร แค่รู้สึกว่าท่าทางตระหนกของจวินหยวนตลก เหมือนเด็กหนุ่มที่สิ้นไร้ไม้ตอกต่อหญิงสาว ยิ่งทำให้เห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของเขามากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาใบนี้ยิ่งมีชีวิตชีวาขึ้น
นางยิ่งรู้สึกได้ว่านางกับจวินหยวนใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่นางก็ไม่ได้ปัดป้อง เขาเหมือนพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่นนั้นทำไมนางจึงไม่ให้โอกาสเขาสักครั้งล่ะ?
สักพักจวินหยวนจึงพูดขึ้นว่า: “แม้ว่าจุลสุเมรุจะเป็นสถานที่เลี้ยงวิญญาณ แต่ไม่ได้เป็นของขลังมนต์ดำอย่างที่น้องซิงคิด ที่นี่สามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณได้ หากมีคนก่อกายเนื้อเป็นตัวแทนคนอื่นขึ้นมา ดวงวิญญาณที่ไม่บุบสลายสมบูรณ์แบบก็สามารถดำรงอยู่ในเนื้อหนังมังสานี้ได้”
เขากล่าว:
“เดิมทีจุลสุเมรุถูกผู้แข็งแกร่งนามหนึ่งกลั่นออกมาในสมัยโบราณกาล ภรรยาของเขาตกลงมาด้วยอุบัติเหตุ จึงเก็บดวงวิญญาณเอาไว้ กายหยาบได้ดับสูญ เพื่อเลี้ยงดวงวิญญาณของนาง จึงได้กลั่นจุลสุเมรุขึ้น และจุลสุเมรุที่เกิดขึ้นภายหลังก็ใช้วิธีเดียวกับผู้แข็งแกร่งนามนี้กลั่นออกมานั่นเอง”
“แล้วสุดท้ายภรรยาของผู้แข็งแกร่งนามนั้นรอดชีวิตมั๊ย?”
เย่จายซิงจับตาดูปาฏิหาริย์
“ไม่รอด”
จวินหยวนหลับตาลง เสียงคล้อยต่ำ: “ภรรยาของเขาไม่รักเขา ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ฉวยโอกาสตอนที่เขาเผลอกระโดดออกจากจุลสุเมรุลอยเป็นธุลีสลายไป”
ยอมเป็นหยกแหลกลาญดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์
ถึงตายก็ต้องไปจากเขาให้ได้
เย่จายซิงคิดในใจ หากนางไม่รักคนผู้นั้น แต่กลับถูกกักขังไปจากไม่ได้คิดว่านางก็ยอมตายเสียดีกว่า
“เสด็จอา ถ้าหากผู้แข็งแกร่งผู้นั้นเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไร?”
อยู่ ๆ นางก็ถามขึ้นมา
“ไม่มีคำว่าถ้าหาก ข้าจะไม่ให้เจ้าเป็นอะไรทั้งสิ้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...