สัตว์ร้ายเบื้องหลังกำลังมาถึง ขาข้างหนึ่งของเย่จายซิงย่ำเข้าไปในเจดีย์โบราณ
ประตูปิดอัตโนมัติ ลำแสงยามโพล้เพล้ สิ่งที่เข้าตาอย่างแรกคือพระพุทธทองคำ ดวงตาเปี่ยมเมตตามองสรรพสัตว์จากเบื้องบน
หน้าพระพุทธรูปมีโต๊ะไม้มะเกลือ เรียงรายไปด้วยเครื่องบูชา มีลูปประคำวางตามใจชอบอยู่เส้นหนึ่ง ธูปสามดอกในกระถางมอดไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ควันธูปลอยเป็นสายอยู่กลางอากาศ กลิ่นชะมดอ่อน ๆ เข้าสู่โพรงจมูก
เย่จายซิงมองไปรอบ ๆ ที่นี่เหมือนสถามธรรมแห่งหนึ่ง บนพื้นมีเบาะนิ่มที่ใช้สำหรับคุกเข่าทำพิธีไว้ไม่ได้เก็บ หมายความว่าก่อนหน้าไม่นาน มีคนคุกเข่าไหว้พระอยู่นี่
นางไม่รู้ว่าแดนลวงตานี้มีการคุกคามหรือไม่จึงไม่เที่ยวเตร็ดเตร่ ยืนอยู่ปากประตู ในแดนลวงตาปล่อยญาณทิพย์ไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่นี่เดิมทีก็เป็นแค่สภาพแวดล้อมมายา สิ่งที่ญาณทิพย์เห็นก็เป็นแค่สิ่งที่ไร้ตัวตน นางได้แต่ดูการเปลี่ยนแปลงของมันอย่างเงียบ ๆ
“อะซู ทำไมเจ้ามายืนอยู่ที่นี่ ลมแรง เจ้าตากเข้าแล้วจะปวดหัว ไป ข้าจะพาเจ้าเข้าไปพักข้างใน”
ในเวลานี้เอง อยู่ ๆ ก็มีเสียงอ่อนโยนของชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัวนาง
พอนางชม้อยตาขึ้น ก็เห็นชายหนุ่มสุภาพเรียบร้อยคนหนึ่งพูดกับนาง
เย่จายซิงก้มหน้าดูตัวเองด้วยสัญชาตญาณ พบว่าไม่รู้เมื่อไหร่ที่เสื้อผ้าบนตัวเปลี่ยนเป็นกระโปรงยาวสีขาวไปทั้งตัว บนมือไม่มีวงแหวน
มือคู่นี้ก็ไม่ใช่ของนาง ขาวจนโปร่งใส ซึ่งเหมือนคนป่วยถึงขั้นซีดเซียว
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หรือนางกลายเป็นอะซู่ที่ชายผู้นั้นเรียก?
พอการคาดเดาเกิดขึ้นในสมอง นางก็พบว่าร่างกายไร้การควบคุมเดินตามชายผู้นั้นเข้าไปแล้ว
ชั้นที่หนึ่งในเจดีย์โบราณยังมีห้องอื่นอีก แต่ชายหนุ่มพานางไปยังชั้นที่สอง นั่นคือห้องโบราณส่วนตัวของหญิงสาว ชายหนุ่มพยุงนางนั่งที่ข้างโต๊ะ แล้วรินชาร้อนให้นางอย่างอ่อนโยน
เย่จายซิงพบว่าร่างกายนางไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของนาง ค่อย ๆ กลืนน้ำชาคำเล็ก ๆ ลงคออย่างเชื่อฟัง
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย อ่อนโยนดุจน้ำ
จากนั้นชายหนุ่มก็คุยกับนางมากมาย เป็นเรื่องมโนสาเร่ อย่างลูกของบ้านน้าจางซุกซนตกลงมาจากต้นไม้ บุตรชายคนโตไม่เอาไหนบ้านลุงหวางขโมยสมบัติที่ตกทอดไปขายเอาไปเล่นการพนันเป้นต้น
เรื่องราวเหล่านี้เต็มไปด้วยสีสัน ราวกับพวกเขาเป็นแค่สามัญชนที่อาศัยอยู่ในตรอก ล้อมรอบไปด้วยผู้คนธรรมดา ทุกครอบครัวมีแต่ปัญหา
แต่เย่จายซิงสังเกตว่า มีแต่ชายหนุ่มคนเดียวที่พูด หญิงสาวที่ชื่อว่าอะซู่ไม่เอ่ยอะไรสักคำ แม้แต่ท่านั่งก็ไม่เปลี่ยน
ส่วนชายหนุ่มเหมือนชินมานานแล้ว เขาพูดจาเหมือนการเล่านิทาน ไม่มีการตอบกลับก็ยังคงพูดด้วยความอ่อนโยน
การคลุกคลีเช่นนี้น่าแปลกมาก ต่อให้หญิงสาวเป็นใบ้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไม่ขยับตัวเลย
“เอาล่ะ อะซู่ ฟ้ามืดแล้ว เจ้าควรพักผ่อนแล้ว ข้าจะพยุงเจ้าไปเอนตัว”
อยู่ ๆ ชายหนุ่มก็ยืนขึ้น พยุงแขนของนาง เย่จายซิงรู้สึกว่าตัวเองยืนขึ้น เดินไปที่เตียง
ชายหนุ่มประคองนางเอนตัว ห่มผ้าให้นางอย่างอ่อนโยน พูดเสียงเบา ๆ ว่า: “หลับเถอะนะ อะซู่”
นางจึงหลับตา จิตเข้าสู่ความมืดมิด
เย่จายซิงร้อนใจ อยากหลุดพ้นจากกายนี้ แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน อยู่ ๆ ก็ได้เสียงเรียกของชายหนุ่มผู้นั้นข้างหู:
“อะซู่ ตื่นได้แล้ว”
พอสิ้นเสียง ในที่สุดนางก็ลืมตาได้ เห็นแสงสว่าง
ภาพในม่านตาก็คือใบหน้าอ่อนโยนคมคายของชายผู้นั้น ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความรัก ประคองนางลุกขึ้น ตักน้ำล้างหน้าให้นาง หวีผม เขียนคิ้ว……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...