บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1243

ครั้นอาหลิวถูกจับกลับไป ถูกไต่สวนอย่างหนัก ท้ายที่สุดจึงยอมรับว่าตนเป็นคนเป่ยโม่ แทรกซึมอยู่ในเมืองหลวงจ้องทุกการเคลื่อนไหวของราชวงศ์เป่ยถัง ยามจำเป็นก็สร้างความวุ่นวาย ก่อนหน้านี้ก็ช่วยหงเล่ซื้อวัตถุดิบยาจริงๆ แต่ที่เป่ยโม่ให้ความสำคัญที่สุดก็คืออาวุธดินปืนในกรงทหารของพวกเขา เพียงพวกเขาเคลื่อนไหว เป่ยโม่ก็จะใช้กำลังทั้งหมดของแคว้นเอาชนะเป่ยถัง เพราะเมื่ออาวุธเหล่านี้ออกมาสู้ภายนอกอีกครั้ง เป่ยโม่ก็ต้องถูกเป่ยถังกลืนกินแน่

ตระกูลฉินแห่งเป่ยโม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้กับอาวุธดินปืนเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงหวั่นเกรงอาวุธเหล่านี้ที่สุด

หยู่เหวินเห้าเข้าวังรายงานฮ่องเต้หมิงหยวน เสนอให้เปิดศึกกับเป่ยโม่ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีก

ถ้าเทียบกับการรอให้เป่ยโม่เตรียมพร้อม เช่นนี้ก็ไม่สู้เป็นคนลงมือก่อน นี่คือความหมายของหยู่เหวินเห้า

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข่าวล้วนบ่งชี้ว่าเป่ยโม่มีลางจะทำการใหญ่ พวกเขาส่งเสบียงไปชายแดนไม่หยุด หากเป่ยถังยังรอจัดการหนานเจียงให้สงบแล้วค่อยรวมกำลังทหารไปต่อกรกับเป่ยโม่ เช่นนั้นโอกาสชนะก็จะน้อยลงไปอีก

ฮ่องเต้หมิงหยวนหารือเรื่องนี้ในการประชุมเช้า แต่ขุนนางในราชสำนักต่างเห็นว่าไม่ทำสงครามได้เป็นดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัดนี้หนานเจียงยังไม่สงบ เวลานี้หากเปิดศึกอย่างไม่รอบคอบ ท้องพระคลังอาจรับไม่ไหว

ทว่าหยู่เหวินเห้ากลับคิดว่าแม้ตอนนี้ไม่เปิดสงคราม แต่เป่ยถังก็ควรเข้าสู่ภาวะเตรียมทำสงครามอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เอาแต่คอยดูว่าเป่ยโม่จะล่วงล้ำมาหรือไม่เช่นนี้

ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่อยากให้เปิดศึก เพราะเมื่อเปิดศึก ฐานะของขุนศึกก็จะขึ้นสูง เรื่องที่บุ๋นบู้ประชันหน้า เป่ยถังมีอยู่เสมอมา รัชสมัยฮ่องเต้เซี่ยนหนักที่สุด แต่เมื่อไท่ซ่างหวงขึ้นครองราชย์ ปัญหาเหล่านี้ก็ถูกกดไว้ ดูผิวเผินไม่มีอะไร ทว่ากลับมีคลื่นใต้น้ำ

จนถึงบัดนี้ คนจำนวนมากคิดว่าสงบสุขรุ่งเรืองแล้ว เพราะสองปีก่อนเพิ่งร่วมมือกับต้าโจวตีแคว้นซู่กับเป่ยโม่พ่ายไป กลายเป็นแคว้นเกรียงไกร ไม่ต้องหวั่นเกรงเช่นนี้

การประชุมเช้า ขุนนางทั้งหลายถกเถียงกันเรื่องนี้ไม่หยุด ฮ่องเต้หมิงหยวนควบคุมสถานการณ์ บอกว่าเรื่องนี้ไว้หารือทีหลัง

หลังจากประชุมเช้าเสร็จ ขุนนางกลุ่มหนึ่งก็ไปห้องทรงพระอักษร พูดสถานการณ์ของแคว้นกับฮ่องเต้หมิงหยวน บอกว่าตอนนี้ที่ต้องเร่งด่วนที่สุดคือการจัดการเรื่องน้ำให้ได้ พยายามผลักดันการเกษตร สร้างเศรษฐกิจให้รุ่งเรือง อย่าได้เสียเงินกับการสงครามอีก

ขุนนางบางคนเสนอให้ส่งทูตไปเป่ยโม่ เจรจาสันติ

เมื่อหยู่เหวินเห้ากลับถึงจวนก็เรียกขุนนางคนสนิทมาจำนวนหนึ่ง ระบายอารมณ์ไปยกหนึ่ง “ตอนนี้มันเวลาอะไรแล้ว? ยังคิดจะเจรจาสันติอีก? พวกมันถือมีดมา ยังไปเจรจา นั่นไม่ใช่การเจรจา แต่เป็นการวิงวอนให้ละเว้น”

“กับเรื่องน้ำและการเกษตร หรือว่าทำศึกแล้วในแคว้นจะหยุดชะงักไปทุกอย่าง? ไม่ใช่ว่าเราอยากทำสงคราม แต่พวกมันกำลังซ่องสุม เรายังคิดว่าอีกฝ่ายแค่วางท่าขู่พวกเรา เล่นหรือไง?”

“ครึ่งเดือนก่อนอ๋องเว่ยส่งข่าวมา บอกว่าเป่ยโม่ส่งเสบียงไปทางชายแดนไม่หยุด ทั้งพวกเขายังขึ้นหน้าไปอีกยี่สิบลี้ หรือจะรอให้พวกเขามาเหยียบแผ่นดินเป่ยถังเราก่อนจริงๆ ราชสำนักถึงเตรียมทำสงคราม?”

“เวลานี้ก็ไม่ได้บอกว่าจะเปิดสงครามประเดี๋ยวนี้ แต่ให้พวกเราเตรียมการไว้ เสบียงทหารอาวุธต้องเตรียมให้เรียบร้อย ส่งทหารไปชายแดน อย่าได้ฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่เป็นจริงอีก ความดุร้ายของคนเป่ยโม่ พวกเราเป่ยถังก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอมา”

น้อยนักที่องค์รัชทายาทจะอารมณ์เสียหนักขนาดนี้ ทันใดนั้นเหล่าขุนนางก็ไม่กล้าเอ่ย เพราะก็มีบางคนที่ในหมู่นี้ไม่อยากทำสงครามเหมือนกัน

หยู่เหวินเห้าเอ่ย “ไม่มีวันที่ความเห็นจะเหมือนกัน ถึงคนเป่ยโม่จะเคลื่อนพลมาถึงใกล้เมือง ก็ต้องมีคนใจเสาะยอมคุกเข่าอ้อนวอน ไม่ยอมฮึกกำลังไปสู้แน่”

“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจคิดว่ายังไม่ถึงเวลานั้น”

หยู่เหวินเห้าคว้ามือนาง ให้นางหมุนตัวกลับมา นัยน์ตาเคร่งเครียด “ตอนนั้นพวกเรากับเป่ยโม่มีความขัดแข้ง เป่ยโม่เห็นพวกเราเป็นศัตรูตัวอันดับหนึ่ง ดินแดนพวกเขาแร้งแค้น อยากขยายอาณาเขตมาตลอด ยึดครองแม่น้ำสายสำคัญของเป่ยถัง หลายปีมานี้ความทะเยอทะยานของพวกเขายังแสดงออกมาไม่มากหรือ? ฮ่องเต้ฉู่ของเป่ยโม่เป็นคนบ้าสงคราม ตระกูลฉินก็เช่นกัน พวกเขาอยากบุกพวกเราตลอดเวลา แต่หากพวกเราคิดว่าโชคดี ก็จะไม่มีวันได้คืน ตอนนั้นอ๋องชินเฟิงอันรบทำให้พวกเขากลัว อย่างไรก็รักษาความสงบชายแดนมาได้เกือบยี่สิบปี แต่เกือบสิบปีมานี้พวกเราแอบเคลื่อนไหวกันอีก ทำเรื่องเหมือนเดิม ชนเผ่ารอบเป่ยโม่แทบถูกพวกเขารวบได้หมด ถ้าพวกเรายังรอต่อไป พวกเขาก็มีแต่แข็งแกร่งมากขึ้น พอพวกเขารุกล้ำเข้ามาก่อน พวกเราก็เสียโอกาสลงมือก่อน ถูกกระทำ จะตกอยู่ในสถานการณ์ถูกโจมตีได้”

หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาเป็นกังวล นางช่วยไม่ได้ นางไม่รู้เรื่องสงครามเลย อยากให้มีคนช่วยให้เขาได้จริงๆ

ขณะที่นางกำลังคิดเช่นนี้อยู่ หยู่เหวินเห้าก็ถอนหายใจ “ถ้าจิ้งเหยียนอยู่ก็ดีสิ อย่างนี้ก็เกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อได้”

“เสด็จพ่อไม่เห็นด้วยหรือ?” เดิมหยวนชิงหลิงคิดว่าพ่อลูกใจเดียวกัน มีแต่ขุนนางที่คัดค้านเท่านั้น

“วันนี้ตอนประชุมเช้า ขอเพียงเสด็จพ่อเผยความแค้นต่อเป่ยโม่สักนิด อย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนไตร่ตรองเรื่องนี้ได้บ้าง แต่ทรงไม่ คงยังทรงคิดว่าเป่ยโม่แค่ก่อกวนเล็กน้อยเหมือนเมื่อก่อน” หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างจนใจ

สองมือเขากดขมับ เอ่ยเสียงเบา “สายพระเนตรเสด็จพ่อไม่ยาวไกล ทรงเห็นแต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้า ไม่เห็นภัยคุกคาม แคว้นใดชอบสงครามย่อมล่มสลาย แต่แคว้นใดลืมสงครามย่อมพบกับวิกฤต ตั้งแต่เป่ยโม่มีความเคลื่อนไหว ข้าก็ให้ความสนใจกับชายแดนมาตลอด พยายามเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อให้ส่งทหารจำนวนมากไปประจำก่อน แต่ไม่ทรงสดับสักนิด”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน