บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1267

สี่วันต่อมา หยู่เหวินเห้ากับสวีอีปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย ผู้ทำหน้าที่ขนส่งอาหารและเงินเดือน ออกเดินทางไปพร้อมกับกองทัพ

ฉากหน้าของกลุ่มนี้ ด้านบนเป็นอาหารและธัญญาพืช แต่แท้จริงแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธ

จวนอ๋องฉู่ยังคงได้รับการคุ้มกันอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก และบุคคลภายนอกที่ต้องการสอดแนมแม้แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่างก็ไม่สามารถมาลอบสอดแนมได้

ในจวนเจียงเป่ย หลังจากที่อ๋องอานไปออกทัพแล้ว พระชายาอานก็พาจวิ้นจู่เดินทางกลับไปที่เมืองหลวง

นี่คือสิ่งที่อ๋องอานสั่งไว้ เพราะทันทีที่เกิดการต่อสู้ขึ้นมา แนวรบด้านหลังเกิดการเคลื่อน มันจะลุกลามไปจนถึงจวนเจียงเป่ย พระชายาอานกับลูกอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่อาจวางใจได้จริง ๆ ดังนั้นเขาจึงจัดการให้สองคนแม่ลูกกลับไปเมืองหลวง

หลังจากส่งเสบียงของทหารชุดที่สองออกจากเมืองหลวงแล้ว อ๋องหวยก็ออกจากเมืองหลวงไปเช่นกัน เขากำลังจะไปที่เมืองใกล้ ๆ นี้เพื่อทำการปันส่วนธัญพืช ชั่วขณะที่กล่าวคำลากับหรงเยว่ ในใจก็แสนอาวรณ์ยากจะหักใจลา

นี่เป็นครั้งแรกที่สามีต้องจากไปไกล ในใจหรงเยว่ยิ่งยากจะตัดใจ จึงส่งพี่น้องจากสำนักเหลิ่งหลังให้ติดตามเขาไปด้วย อาจเป็นเพราะว่าการตั้งครรภ์ของนางที่ส่งผลต่ออารมณ์ จนเกิดความผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่อ๋องหวยออกไป นางถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวร้องไห้ออกมา

ที่จริงในใจนางมีความสุขมาก แม้ว่านางมักจะพูดเสมอว่านางสามารถปกป้องอ๋องหวยได้ ให้เขาแค่ใช้ชีวิตอย่างสงบปลอดภัยในเมืองหลวงก็พอ แต่เมื่อเขาต้องไปทำตามภาระหน้าที่ที่สมควร แสดงให้เห็นถึงคุณค่าในตัวของเขาจริง ๆ นางก็รู้สึกมีความสุขมาก

หลังจากที่อ๋องหวยไป นางก็ย้ายไปอยู่ที่จวนอ๋องฉู่ ไปพักอยู่กับหยวนชิงหลิงและอะซี่ นางบอกว่าทุกคนต่างก็ท้องกันหมด มาอยู่ร่วมกัน คอยดูแลซึ่งกันและกัน อีกทั้งสามีของทั้งสามก็ล้วนไปออกทัพ มาใช้ชีวิตร่วมกัน จะได้ไม่เกิดความคิดฟุ้งซ่าน ถ้าคนใดคนหนึ่งคิดเรื่องไม่ดี อีกสองคนก็จะได้ช่วยปลอบโยนได้ทันที

เดิมคิดว่าในสามคน คนที่แข็งแกร่งที่สุดคงเป็นหรงเยว่ และคนที่อ่อนแอที่สุดคงจะเป็นอะซี่

แต่หลังจากที่มาพักอยู่ที่นี่ถึงค่อยรู้ว่า คนที่ขี้เป็นห่วง ชอบย้ำคิดย้ำทำกลับเป็นหรงเยว่ไปเสียได้ นางเอาแต่พูดว่าสุขภาพของเขาไม่ค่อยดี ครั้งนี้ต้องเดินทางไกล ทั้งยังต้องขนส่งเสบียงอาหารไปยังชายแดนด้วยตัวเอง ซึ่งหมายความว่าเขาต้องปรากฏตัวในสนามรบ ช่างอันตรายนัก

อะซี่รีบปลอบโยนนาง เขาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและอาหาร มีคนเก่งกาจมากมายในกองทัพ เขาไม่จำเป็นต้องไปอยู่แนวหน้า ทั้งยังมีคนในสำนักเหลิ่งหลังคอยคุ้มครองอยู่ รับรองว่าต้องไม่มีอุบัติเหตุเภทภัยใด ๆ เกิดขึ้นแน่

แม้ว่าอะซี่จะปลอบโยนนางเช่นนี้ แต่นางก็ยังไม่อาจรู้สึกวางใจ จึงเพิ่มกำลังคนอีกกลุ่มหนึ่งให้ติดตามเขาไปด้วย

ช่วงนี้หยวนชิงหลิงกำลังวิจัยเรื่องของทะเลสาบจิ้งอยู่ เรื่องการทำศึกเหล่านั้น นางไม่ค่อยรู้สึกกังวลเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่รู้ว่าทำไม นางมักรู้สึกอยู่เสมอว่าแผนการของฉีฮั่วจะต้องประสบความสำเร็จแน่

ด้านฉีฮั่วหลังออกจากเมืองหลวงเขาก็หิ้วหัวคนปั้นตรงไปที่ค่ายทหารของเป่ยโม่ทันที

กองทัพเป่ยโม่รุกไปข้างหน้าแล้วสามสิบลี้ พวกเขารู้แล้วว่ากองทัพเป่ยถังกำลังจะออกเดินทัพ ตอนนี้ใกล้จะถึงชายแดนเข้าไปทุกที ว่ากันว่าอ๋องชินเฟิงอันและไท่ซ่างหวงเป็นผู้บัญชาการรบเอง นี่จึงเป็นเวลาที่แม่ทัพใหญ่ฉินรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจอย่างหนัก

ไท่ซ่างหวงเป็นผู้ออกบัญชาการรบด้วยตนเอง นี่เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ของกองทัพเป่ยถัง ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ครั้งนี้ของพวกเขาเป็นการต่อสู้เพื่อการปกป้อง บรรดาทหารที่ออกรบล้วนมีหัวใจที่พร้อมยอมตายเพื่อปกป้องบ้านเมืองของตน เมื่อมีจิตวิญญาณเช่นนี้เข้าสู่สนามรบ ต่อให้มีศัตรูนับหมื่นนับแสนก็ยากที่จะโค่นล้มได้

ขณะที่กำลังวิตกกังวล ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากด้านหน้า บอกว่าเขาได้นำหัวของรัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยถังมาเพื่อรับทองคำ

แม่ทัพใหญ่ฉินตกตะลึง รีบนำกำลังคนขึ้นหลังม้าพุ่งออกมาทันที จึงเห็นคนผู้หนึ่งกำลังขี่ม้าอยู่ข้างหน้า คนที่นั่งอยู่บนหลังม้าเป็นชายชราที่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบคนหนึ่ง ในมือถืออะไรบางอย่างอยู่ ใช้ผ้าขาวห่อพันมิดชิด มองดูรูปร่างแล้วก็เหมือนหัวมนุษย์จริง ๆ

แม่ทัพใหญ่ฉินรีบขี่ม้าตรงเข้าไป มองดูเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วถามว่า "เจ้าคือจอมมารกระบี่อย่างนั้นรึ?"

ฉีฮั่วโยนหัวคนในมือออกไป แล้วพูดว่า "ไม่ต้องสนใจว่าข้าคือใคร ในเมื่อเป่ยโม่ได้ออกคำสั่งแล้วว่าจะให้เงินรางวัล ก็จงมอบทองคำมาตามที่สัญญาไว้"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน