บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1505

เมื่อก่อน หยู่เหวินเห้าคิดมาตลอดว่า ที่ท่านชายสี่อยากได้หมาป่าหิมะ เพราะอยากได้เพื่อนจากใจ แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าเขาต้องการหมาป่าหิมะเพื่อความรู้สึกปลอดภัย

ตั้งแต่เขาเข้าวังมาจนถึงตอนนี้ เขามีบทบาทเป็นคนที่คนมากมายต่างพึ่งพาและเชื่อมั่นมาตลอด มักจะคิดว่าเขาอยู่ยงคงกระพัน ลืมไปว่าเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีอารมณ์และความปรารถนา

หยู่เหวินเห้ารู้สึกติดค้างท่านชายสี่อย่างมาก ความทรมานบีบแน่นอก พูดอะไรไม่ออก

พระชายาหมุนถ้วยชา ความดุดันฉายแววในดวงตา พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าส่งองครักษ์ฟ้าผ่าไปยังเมืองเฟิงตูแล้ว จ้องมองดูเหยี้ยนจือหยู ตอนนี้เมืองเฟิงตูกำลังเตรียมงานอายุยืนให้กับเขา เดือนหน้านอกจากจะมีงานอายุยืนของเขาแล้ว ยังเป็นวันครบรอบแต่งงานสามสิบหกปีของพวกเขา ความยินดีครึกครื้น ไม่แพ้ตอนที่พวกเจ้าจัดงานแต่งงาน หลังจากรู้ความจริงของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เหลิ่งซี่จะต้องไปเมืองเฟิงตูแน่ องครักษ์ฟ้าผ่ากับองครักษ์เงาดำจะค่อยสนับสนุนเขา ยังมีสำนักเหลิ่งหลัง แค้นนี้ยังไงก็ต้องชำระ”

หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้ามองตากัน ภายในใจรู้สึกเกลียดและเจ็บปวด งานอายุยืน งานครบรอบแต่งงานสามสิบหกปี? นั่นก็เท่ากับว่าเหลิ่งเฟิ่งชิงเพิ่งตาย พวกเขาก็รีบจัดงานแต่งงานทันที

นี่ถือเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนาจริงๆ

ยังคงเป็นห้องนั้น หยู่เหวินเห้านั่งอยู่ด้านนอก เฝ้าคนที่อยู่ภายในห้อง หมาป่าหิมะก็นอนอยู่ด้านข้างเขา ตากแสงแดดอยู่อย่างเกียจคร้าน

พระชายานั่งอยู่ในลาน ข้างกายก็มีหมาป่าหิมะหนึ่งตัว มือของนางวางอยู่บนหัวของหมาป่าหิมะ ลูบจับอยู่อย่างเบาๆ มองดูดูกุหลาบปีนป่ายบนรั้วบ้าน ดวงตะวันฉายแสงเข้าภายในดวงตาที่เยือกเย็น

ภายในห้อง จุดไม้กฤษณาไว้เหมือนเมื่อวาน กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยผ่านจมูกอย่างอ่อนๆ หยวนชิงหลิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ หลับตาทั้งคู่ ทำใจให้ว่างเปล่า แล้วค่อยๆปล่อยสัมผัสแห่งจิต

เมืองเฟิงตูเมื่อสามสิบหกปีก่อน

ศพเหลิ่งเฟิ่งหยู่คุณหนูรองของตระกูลเทียนซ่วนแขวนอยู่บนประตูเมืองเฟิงตู หญิงสาวเยาว์วัยสิบห้าปี ดรุณีโฉมสะคราญปานบุปผา ปีนี้อายุเพิ่งครบสิบห้า หมายปองไว้กับคุณชายรองตระกูลเหยียน จะแต่งงานกันในปีถัดไป

นางถูกมีดเฉือนคอตาย ชุดสีขาวเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดง เหมือนถูกสาดด้วยหมึกแดง ย้อมจนเสื้อผ้าเหมือนดั่งปักด้วยลวดลายพระอาทิตย์ตกที่แผดเผา

บนหัวของนางยังปักไว้ด้วยปิ่นปักผมหยกขาว ที่เหลิ่งเฟิ่งชิงพี่สาวของนางมอบให้กับนาง เมื่อลมพัด ปิ่นปักผมส่งเสียงใสดังขึ้น ดวงตาโตยังดูมีความโกรธและความกลัวหลงเหลืออยู่ก่อนตาย

ถูกห้อยจากคอด้วยห่วงเชือกอยู่อย่างนั้น แขวนอยู่บนกำแพงเมือง รองเท้าลวดลายดอกหล่นลงไปหนึ่งข้าง ราวกับตุ๊กตาผ้าที่ผุพัง

กลางดึก บนกำแพงเมืองก่อกองไฟไว้ ส่องสว่างบริเวณประตูเมืองให้สว่างไสวราวกับกลางวัน กลางคืนห้ามผู้คนสัญจร จึงไม่มีผู้คนเดินบนถนน ค่ำคืนอันเงียบงัน น่ากลัวราวกับนรก

เหยี้ยนจือหยูพาเหลิ่งเฟิ่งชิงไปบนประตูเมืองด้วยตนเอง บีบคางไว้อย่างแรง พร้อมพูดด้วยสายตาเย็นชาว่า “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องชดเชย กับหนึ่งฝ่ามือที่ตบไปนั้น ข้าเคยบอกแล้ว ห้ามเจ้าแตะต้องนาง ห้ามพูดจาทำร้ายนาง เจ้าทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดของข้า”

เหลิ่งเฟิ่งชิงมองดูร่างไร้วิญญาณของน้องรอง หัวใจแตกสลาย ร่างกายเย็นเฉียบ สั่นเทาไปทั้งตัว หากก่อนหน้านี้ยังมีความหวังเล็กน้อยว่าเขาคงไม่โหดเหี้ยมขนาดนี้ ตอนนี้ นางไม่มีความคาดหวังกับไม่มีทางหนีได้แล้ว

ความเจ็บปวดภายในใจของนางแผ่ขยายออกไป ท้องไส้ปั่นป่วน ความเจ็บปวดทำให้นางต้องก้มลงจับท้องของตนเองไว้ ร้องไห้อย่างสุดใจ แต่ไม่มีน้ำตาสักหยด

จากสวรรค์ลงมาถึงพื้นรวดเร็วเกินไป เร็วจนไม่ให้นางได้ทันหายใจ นางอยากที่จะสับเป็นเหยี้ยนจือหยูเป็นพันหมื่นชิ้น แต่จะไม่สนใจชีวิตคนตระกูลเทียนซ่วนหลายคนไม่ได้

ข้างหู มีเสียงโหดเหี้ยมราวกับปีศาจดังขึ้นว่า “พรุ่งนี้เริ่มเปลี่ยนชะตาลิขิตชีวิตให้กับหรูซวง เจ้าช้าหนึ่งวัน ข้าก็จะฆ่าหนึ่งคน ช้าสองวัน ฆ่าสองคน ช้าสามวัน ฆ่าหกคน เจ้าผัดวันประกันพรุ่งได้เรื่อยๆ”

เหลิ่งเฟิ่งชิงใช้แรงทั้งหมดที่มี ตบบนใบหน้าเหยี้ยนจือหยู คำด่ากลับพูดไม่ออกสักคำ ทำได้แค่มองดูเขาด้วยสายตาโกรธเคือง พร้อมหายใจหอบอย่างแรง

เหยี้ยนจือหยูไร้ซึ่งความเมตตา ยกฝ่ามือตบคืนบนใบหน้าของนาง ตบจนนางเวียนหัวล้มลงกับพื้น เขาใช้เท้าเหยียบลงบนฝ่ามือของนาง ชายเสื้อถูกลมพัดปลิวกระทบใบหน้าของนาง กลิ่นหอมที่คุ้นเคย เลือดเย็นอย่างไม่คุ้นเคย เขาพูดขึ้นว่า “อย่าท้าทายกับความอดทนของข้า ผลที่จะตามมาเจ้าไม่สามารถรับได้”

เหมือนนางจะได้ยินเสียงกระดูกนิ้วมือหัก กลับไม่รู้สึกเจ็บ ความปวดร้าวในใจบดบังทุกสิ่ง เจ็บปวดจนมึนชา

ตั้งแต่ต้นจนจบ น้ำตาของนางไม่ไหลสักหยด ฟุบนอนอยู่บนพื้น มองดูน้องสาวคนรองที่ถูกแขวนคออยู่ในอากาศอย่างสิ้นหวัง รู้สึกผิด ละอายใจ เกลียดชัง โกรธแค้น สิ้นหวัง กัดกินก้นบึ้งของหัวใจอยู่อย่างต่อเนื่อง

เหยี้ยนจือหยูสะบัดเสื้อคลุม เดินลงจากหอคอยไป

มีองครักษ์เหล็กหลายคนยืนอยู่ด้านข้างนาง มองดูนางด้วยท่าทีเยือกเย็น

“เหยี้ยนจือหยู ข้าจะเอาชีวิตเจ้า”

ด้านล่าง ฟางหวาสาวใช้ตะคอกพูดขึ้นอย่างโกรธแค้น จากนั้นก็ตามด้วยเสียงกรีดร้อง ร่างกายนางเย็นเฉียบไปทั้งตัว รีบลุกขึ้นมาแล้วไปเกาะที่ผนังกำแพงเมืองแล้วมองลงไป กลับมองเห็นฟางหวานอนจมกองเลือด ลูกหอกขององครักษ์เหล็กปักทะลุหัวใจของนาง ในมือของนางถือกระบี่ไว้เล่มหนึ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น จ้องมองดูเหยี้ยนจือหยูที่ค่อยๆเดินมา เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมสายตาที่แฝงไปเลือด พูดขึ้นอย่างเลือดเย็นว่า “โยนนางไปในพื้นที่ล่าสัตว์”

องครักษ์เหล็กคว้าจับผมฟางหวาไว้ แล้วก็ลากไปบนพื้นถนนที่ปูด้วยหิน มุมปากฟางหวามีเลือดไหล มองดูเหลิ่งเฟิ่งชิงที่อยู่บนกำแพงเมืองอย่างเจ็บปวด

“ฟางหวา” เหลิ่งเฟิ่งชิงวิ่งลงไปเหมือนอย่างคนบ้า ไม่สนใจว่าท้องจะเจ็บปวดแค่ไหน ทั้งคลานทั้งกลิ้ง พูดร้องไห้อยากหมดหวังว่า “เหยี้ยนจือหยู เจ้าปล่อยนาง ข้าตกลงแล้ว”

เหยี้ยนจือหยูยืนนิ่ง มุมปากยักขึ้นอย่างเยือกเย็น หันหลังให้กับคนด้านหลัง ค่อยๆโบกมืออย่างเชื่องช้า บ่งบอกให้องครักษ์เหล็กปล่อยสาวใช้ฟางหวา

เหลิ่งเฟิ่งชิงโผเข้าไป คุกเข่าอยู่บนพื้นพร้อมกอดฟางหวาไว้ ปากฟางหวามีเลือดไหล พยายามเงยหัวขึ้น น้ำตาร่วงไหล พูดขึ้นอย่างยากลำบากว่า “ประมุข บ่าว....ไม่สามารถปกป้อง....ปกป้องเจ้า บ่าว....ผิดต่อเจ้า”

เหลิ่งเฟิ่งชิงกอดฟางหวาไว้ ร้องไห้อย่างหนัก มือทั้งคู่เปื้อนไปด้วยเลือด ในที่สุดน้ำตาก็ร่วงไหลตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ ไม่ ข้าต่างหากที่กระทำผิดต่อพวกเจ้า เป็นเพราะข้า เพราะข้า...”

ฟางหวาขาดลมหายใจอยู่ในอ้อมกอดของนาง ดวงตาเบิกโต ไม่พอใจ โกรธแค้น

เหลิ่งเฟิ่งชิงกอดนางไว้ แล้วก็นั่งอยู่บนพื้นเช่นนี้ ปล่อยให้ลมกลางคืนพัดมา หัวใจของนางก็ยังคงบ้าคลั่งเหมือนตอนแรก โกรธแค้นอย่างไม่สามารถยับยั้ง จนตอนนี้ทั้งสิ้นหวังและมึนชา

ต่อมานางค่อยๆปล่อยฟางหวา แล้วปีนขึ้นไปบนกำแพง ปลดร่างไร้วิญญาณของเหลิ่งเฟิ่งหยู่ลงมา กอดไว้แนบอก พร้อมเปล่งเสียงคำรามคร่ำครวญเหมือนสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บ

ข้างกายนางไม่มีใครสามารถใช้ได้อีก ใช้เวลาครึ่งคืน ฝังศพเหลิ่งเฟิ่งหยู่กับฟางหวาอย่างเร่งรีบตรงนอกเมือง นางถอดเสื้อคลุมออก ห่อหุ้มทั้งสองคนไว้ คุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วร้องไห้อย่างหนัก

เพื่อปกป้องชีวิตทุกคนในตระกูลเทียนซ่วน นางเปิดค่ายกลทำพิธีให้กับซูหรูซวงอาศัยพลังแห่งความมืดสมัยโบราณของตระกูลเทียนซ่วน เพื่อเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตให้กับนาง

การเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต จะถูกพลังแห่งความมืดย้อนกลับมาทำร้าย

นางนอนอยู่ในค่ายกลอย่างอ่อนแอ รู้สึกสูญเสียชีวิตไปทีละนิด แต่นางจะไม่ตายเร็วขนาดนี้ การย้อนกลับมาทำร้ายต้องใช้ช่วงเวลาหนึ่ง อย่างเร็วที่สุดก็ต้องหนึ่งเดือน

สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงต้องคุกเข่าต่อหน้าเหยี้ยนจือหยู ขอร้องให้เขาปล่อยคนของตระกูลเทียนซ่วน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน