ในวังที่ไม่มีเด็ก ๆ ความเงียบงันกลับดูน่ากลัวขึ้นมา กระทั่งกวากวาก็ยังดูเซื่องซึมลงไป เมื่อก่อนนี้ ทุกวันยังมีพวกพี่ชายที่คอยมาแย่งกันอุ้มนางส่งเสียงดังเอะอะเจี๊ยวจ๊าว แต่มาตอนนี้นางเฝ้ารอตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ก็ไม่เห็นพวกพี่ชายมา กวากวาเองก็มีท่าทางกระสับกระส่ายทั้งวันเหมือนกัน
แม้ว่านางจะชอบที่ท่านพ่ออุ้มเช่นกัน แต่ท่านพ่อก็ยุ่งกับงานในราชสำนักทั้งวัน เขาจะเข้ามาอุ้มนางเล่นได้ก็ต่อเมื่อใกล้จะนอนแล้ว จะเอาไปเทียบกับเมื่อก่อนได้อย่างไรล่ะ??
ไม่ต้องพูดถึงแค่กวากวา แม้แต่หมาป่าหิมะกับเจ้าเสือต่างก็หดหู่หงอยเหงามาก นอนหมอบอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องของเจ้านายน้อย พลิกตัวไปมา ไม่ยอมออกไปวิ่งเล่นข้างนอก หยวนชิงหลิง รู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อารมณ์ของทุกคนคงถูกดึงจนดิ่งกันไปหมดแน่ ๆ
นางจัดงานเลี้ยงพบปะทุกคนในครอบครัว โดยให้ทุกคนพาลูก ๆ ในบ้านตัวเองเข้าวังมาเล่นสนุกด้วยกัน พวกท่านอ๋องต่างก็ตอบรับคำเชิญ แล้วพาลูกชายลูกสาวเข้าวังมาร่วมวงสรวลเสเฮฮา ทำให้ในวังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แต่หยู่เหวินเห้ากลับสะเทือนใจจนแทบน้ำตาไหล เพราะล้วนเป็นลูก ๆ ของคนอื่นทั้งนั้น
แต่เมื่อกวากวาได้เห็นเด็กจำนวนมากมายขนาดนี้ ก็มีความสุขมาก อยู่เหวินเห้าในฐานะพ่อที่หลงลูกสาวมาก จึงมีความสุขด้วยเช่นกัน เพราะเขากลัวจริง ๆ ว่ากวากวาจะเป็นโรคซึมเศร้าไป
เพื่อความสุขของลูกสาว ไม่ว่าจะให้ทำอะไรเขาก็ยินดี
เทียนสิงอายุครบร้อยวันแล้ว ได้จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ขึ้นมาหนึ่งครั้ง เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้เทียนสิงก็มีท่านย่าแล้ว ต้องทำให้ท่านย่ามีความสุขเสียหน่อย
งานเลี้ยงจัดได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก ในด้านเงินทอง ท่านชายสี่ไม่เคยตระหนี่แม้แต่น้อย เขายินดีทุ่มเงินจำนวนมาก เพื่อทำให้ภรรยาและแม่มีความสุข
ทุกคนมีความสุขมากที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ เมื่อทานอาหารเสร็จ แขกก็แยกย้ายกันไป ในตอนที่ทุกคนในครอบครัวนั่งดื่มเหล้าคุยสัพเพเหระกันอยู่ ก็มีเรื่องตลกเล็ก ๆ ที่ทำให้ทุกคนหัวเราะคิกคักกัน นั่นคือ กลุ่มชายชราผู้ทำงานอย่างขยันขันแข็งแห่งจวนอ๋องซู่ ต่างพาพลพรรคมาห่ออาหารกลับไปแบบสบายอกสบายใจมาก
อันที่จริงตอนนี้ จวนอ๋องซู่ไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไรขนาดนั้นแล้ว เพียงแต่มันเป็นนิสัยที่ปลูกฝังมาหลายสิบปีที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คือทำใจทนเห็นอาหารเหลือทิ้งเปล่า ๆ ไม่ได้
ก่อนหน้านี้ หยวนชิงหลิงเคยคิดว่าถ้าเรื่องของท่านชายสี่ได้รับการแก้ไขแล้ว อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาจะจากไป แต่จนถึงงานเลี้ยงฉลองอายุร้อยวันแล้ว พวกเขาก็ยังไม่จากไป หยวนชิงหลิงลองถามพระชายาเป็นการส่วนตัว พระชายาก็ตอบว่า "เมื่อก่อนก็คิดว่าอยากจะกลับไปขนาดแค่ฝันก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้กลับไป แต่หลังจากกลับไปก็แค่นั้น กลับกันเอาแต่คิดว่าอยากจะกลับมา เลยตัดสินใจไม่ไปแล้ว จะอยู่กับพวกเขาแล้วแก่เฒ่าไปพร้อม ๆ กัน”
พระชายายังบอกหยวนชิงหลิงอย่างจริงจังว่า “หากในที่สุดแล้ว เจ้าคิดว่าอยากจะจากที่นี่ไป เจ้าจะต้องไม่มีความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้คนที่นี่โดยเด็ดขาด หากเจ้ามีความรู้สึกที่แท้จริงล่ะก็ ต่อให้เจ้าอยากจากไป เจ้าก็จะไปไม่ได้ "
หยวนชิงหลิงก็หัวเราะด้วย นางจนถึงตอนนี้ จะไม่ให้มีความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างไรล่ะ? หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันมานานหลายปี มันต้องเกิดความรู้สึกที่ซึมลึกจนลืมไม่ลงอยู่แล้ว
พระชายาพูดขึ้นอีกว่า “หากเจ้าตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะอาศัยอยู่ที่นี่ ก็จงอย่าเอาแต่คิดถึงคะนึงหาว่าอยากจะกลับไป หรือถ้าคิดว่าวันหนึ่งจะจากไป เหมือนพวกเราสามีภรรยา คิดไปคิดมาเกือบทั้งชีวิต สุดท้ายก็ไม่กลับไป แบบนั้นการมีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี ก็จะกลายเป็นอะไรที่ขัดแย้งไปแทน”
พระชายามีความรู้สึกปลงแบบนี้ เพราะนางดื่มเหล้าไปเล็กน้อย แล้วระบายอารมณ์ส่วนลึกออกมา แต่นางก็มีความสุขดีโดยรวม เวลาที่ต้องเลือกมักเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุด แต่เมื่อได้เลือกแล้ว ก็จะรู้สึกผ่อนคลายสบายใจได้เสียที
หยวนชิงหลิงยังไม่ถึงขอบเขตที่ว่านั้น เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้นางก็สามารถไปมาได้ทั้งสองฝั่ง เป็นสิ่งที่นางพอใจมากแล้ว
พวกผู้ชายดื่มกันเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มคุยกันเรื่องธุรกิจ
ตอนนี้อ๋องฉีเริ่มมีความเชี่ยวชาญในด้านการประสบสอพลออย่างยิ่ง เขายกย่องเยินยออ๋องชินเฟิงอัน ว่าเขาสามารถพิชิตเมืองเฟิงตูให้มาอยู่ในกำมือได้ง่ายดายพอ ๆ กับการกินเกี๊ยวเลยทีเดียว ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
แต่โสวฝู่ฉู่กลับใช้สายตาที่เคารพยกย่องมองไปที่อ๋องชินเฟิงอัน แล้วอธิบายว่า "อ๋องฉี ถ้าเจ้าเข้าใจวิธีการลงมือทำงานใหญ่ของเสด็จปู่ใหญ่ของเจ้าจริง ๆ เจ้าจะไม่รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเฟิงตูหรอก วิธีการทำงานของเขาเป็นแบบนี้มาตลอด เขาจะไม่ต่อสู้ในศึกที่ไม่อาจแน่ใจในชัยชนะ การจัดการเมืองเฟิงตูครั้งนี้นับว่าทำแบบลวก ๆ แล้วด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นทำไมเขาต้องวางยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าด้วยล่ะ? "
เซียวเหยากงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ใช่ ข้ายังจำการต่อสู้กับเป่ยโม่ในปีนั้นได้ดี ในวันที่ไม่มีการทำศึก เขาก็เริ่มเตรียมการวางแผน จัดการให้แม่ทัพหยวนกับแม่ทัพอู๋เวยเจิ้นไปที่เจียงเป่ย ไปสร้างความคุ้นเคยกับชาวบ้านในพื้นที่ กำหนดสถานที่เหมาะสมในการทำสงคราม ไม่เช่นนั้น สถานการณ์ศึกที่ย่ำแย่ยากแค้นในปีนั้น พวกเราจะสามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ ได้อย่างไรล่ะ? ก็เพราะมีการเตรียมการมาอย่างดีทั้งนั้นนั่นล่ะ"
เมื่ออู๋ซ่างหวงได้ยินพวกเขาพูดถึงสงครามในปีนั้น ก็รู้สึกปลงอนิจจัง “มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เสด็จปู่ใหญ่ของเจ้าจะไม่สู้ในศึกที่ไม่แน่ใจในชัยชนะ ตอนนั้นเขาสู้จนพวกศัตรูกลัวจนฉี่ราดเผ่นหนีแทบไม่ทัน สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งเจ็ดอาณาจักร ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม”
อ๋องฉีได้ฟัง ก็กวาดตามองดูทั้งสามซ้ำ ๆ รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “ท่านทั้งสามพูดจาประจบเอาใจเสียจนคนฟังแทบจะลอยขึ้นท้องฟ้าไปให้ได้แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
แม้ว่าอ๋องชินเฟิงอันจะควรค่าแก่การชื่นชม แต่การที่สามผู้เฒ่าพยายามประจบสอพลอด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเช่นนี้ ก็ยังทำให้รู้สึกสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อย
ทุกคนมองดูสามผู้เฒ่าประจบสอพลออย่างนึกสงสัยใคร่รู้
อ๋องชินเฟิงอันยิ้ม แต่ก็ไม่พูดอะไร
อู๋ซ่างหวงยืดอกเชิดหน้า พูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ยอมลั่นวาจาสาบานว่าจะขอกอดคอร่วมเป็นร่วมตายไปตราบจนพระอาทิตย์ดับแสงอีก
หยวนชิงหลิงก็ดื่มไปสองสามแก้วในคืนนี้ ก่อนหน้านี้ดื่มเมื่อไหร่เป็นเมาเมื่อนั้น แต่หลังจากที่เปลี่ยนสมองในยุคปัจจุบันแล้ว ก็พอจะดื่มได้สองสามแก้วโดยไม่เมาแล้ว
อันที่จริง บางทีนางอาจจะดื่มได้เยอะ แต่นางไม่กล้าลองดื่มง่าย ๆ เพราะกลัวจะเมาอาละวาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...