บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1631

หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าสมองพันกันยุ่งเหยิงไปหมดแล้วจริง ๆ ฉีฮั่วพูดเรื่องมุมมองผู้มีอารยธรรมสูง ทำไมมันถึงได้ฟังดูแปลกแบบนี้นะ?

มนุษย์เราหากจะพูดว่าเป็นผู้มีอารยธรรมสูง ก็ยังอยู่แค่ในขั้นตอนของการคาดเดาเกี่ยวกับสิ่งที่น่าจะเป็นเท่านั้น ถึงขั้นที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยซ้ำว่า ผู้อยู่ในอารยธรรมสูงที่ว่านี้มีอยู่จริงหรือไม่

เอาเถอะ ต่อให้เคยมีคนยกประเด็นนี้ขึ้นมาเสนอว่า ผู้มีมุมมองในอารยธรรมสูงที่ว่านี้ ก็คืออารยธรรมของบรรดาทวยเทพ แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถติดต่อกับผู้ที่อยู่ในอารยธรรมทวยเทพได้ แล้วคนที่อยู่ในโลกของทวยเทพ จะมองลงมาที่โลกนี้ได้ยังไงล่ะ?

เธอรู้สึกเหมือนถูกชักจูงให้หลงทางออกไปทุกที ๆ

เธอพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อนำหัวข้อนี้เบนกลับไปหาฮ่องเต้น้อยจิ่งเทียน "แล้วมีวิธีช่วยเขาได้บ้างไหม? ฉันเห็นว่าเขาเพิ่งจะอายุแค่นี้ ก็ต้องมาตายไปแบบนี้ซะแล้ว น่าเสียดายออก"

“ไม่มีอะไรน่าเสียดายหรอก คนเราเมื่อตายไปก็มีการกลับชาติมาเกิดใหม่ เขาเป็นคนมีบุญมาก”

“กลับชาติมาเกิดใหม่!” ไหล่ของหยวนชิงหลิงห่อเหี่ยวลงไปอย่างช้า ๆ ยื่นมือขึ้นไปนวดคลึงที่หว่างคิ้ว “ คุณเพิ่งจะพูดถึงผู้ที่มีอารยธรรมสูง มาตอนนี้ก็พูดถึงการกลับชาติมาเกิดใหม่ ความนึกคิดของคุณปรับเปลี่ยนไปมาเร็วซะขนาดนี้ ฉันตามไม่ทันหรอกนะ"

ฉีฮั่วพูดว่า "มีอะไรให้ตามไม่ทันล่ะ? ไม่ใช่ว่ามีคำกล่าวหนึ่งว่าไว้หรอกเหรอ? ว่าจุดจบของวิทยาศาสตร์คือเทววิทยาน่ะ? ทำไมคุณถึงต้องคิดอะไรให้มันซับซ้อนขนาดนี้ด้วยล่ะ?"

"ดีเลย ถ้าอย่างนั้นคุณลองใช้มุมมองผู้มีอารยธรรมสูง มาอธิบายเรื่องคำสาปให้ฉันฟังหน่อยสิ" นี่เป็นรูปแบบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ ขอดูหน่อยเถอะว่าเขาจะพูดยังไง

ฉีฮั่วอธิบายว่า "ที่จริงแล้วเรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายมากเลยนะ คำสาปตัวมันเองเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง คนในตระกูลของพวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพลังงานที่ว่านี้ เลยถูกพลังงานนี้จู่โจมกลับ นี่คือสิ่งที่เรามักเรียกกันว่าคำสาป แต่ฟันเฟืองของพลังคำสาปนี้ มันสามารถค่อย ๆ อ่อนแอลงตามการเปลี่ยนแปลงของออร่าของคนในตระกูล พอถึงรุ่นของเขาก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้วล่ะ อย่างที่ฉันบอก ว่าเขาเป็นคนมีบุญกุศลมาก ก็เพราะเขามีส่วนสำคัญในการปกครองก่อร่างสร้างประเทศ มีความดีในการทำให้ประเทศมั่นคง ทั้งยังมีความดีในการพัฒนาประเทศ หากพลังของคำสาปไม่อาจยิ่งใหญ่ไปกว่าบุญกุศลนี้ของเขา มันก็จะถูกซึมซับจนย่อยสลายไป ต่อให้ภายภาคหน้าเขากลับชาติมาเกิดใหม่ เขาก็จะเป็นคนที่โชคดีมีกุศล”

ในขณะที่หยวนชิงหลิงพยายามแยกแยะคำพูดของเขา เขาก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า "มีคนบางคนเกิดมาเพราะเคราะห์กรรม แล้วก็มีคนบางคนที่เกิดมาเพราะความจำเป็น เขาเป็นคนที่เกิดมาเพื่อภาระทั้งสองอย่าง"

“อ๋อ” หยวนชิงหลิงทำได้แค่พยักหน้าแบบเข้าใจครึ่ง ไม่เข้าใจครึ่ง

แต่ฉีฮั่วกลับพูดอีกประโยค ที่ทำให้เธอสามารถเข้าใจได้ในทันทีว่า "พลังแห่งความคิดนั้นยิ่งใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ร่างกายมนุษย์เป็นแค่พาหะชนิดหนึ่ง แต่ความคิดจะไม่มีวันตาย การพัฒนาของอารยธรรมมนุษย์จนถึงทุกวันนี้ ต่างก็อาศัยความคิดอันสุดจะอัศจรรย์พันลึกที่สมองสร้างออกมา ดังนั้นว่ากันตามจริง เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกโศกเศร้าเสียใจว่าเขาจะตายหรือไม่ ต่อให้ไม่ตายตอนนี้ อนาคตเขาก็ต้องตาย แต่ความตายนี้ จะเป็นความตายในแบบที่พวกคุณคิดว่าใช่หรือเปล่า มันก็ไม่อาจยืนยันได้แน่ชัด"

หยวนชิงหลิงขบคิดซ้ำไปมา บางทีสิ่งที่ฉีฮั่วพูดมาทั้งหมด ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้ของเธออาจจะไม่มีวันเข้าใจมันเลยก็ได้ แม้ว่าจะไม่ใช้สารยับยั้งที่หยางหรูไห่ให้มา ก็ไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ แต่อันที่จริงการที่เธออาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่จำเป็นว่าเธอจะต้องรู้ไปหมดทุกอย่างก็ได้

เพราะแบบนั้นมันเหนื่อยเกินไป

ติดอยู่แค่ เขาบอกว่าฮ่องเต้น้อยจะตายก่อนอายุครบสิบแปด ถ้าที่เขาพูดมันถูกตามนั้นจริง ๆ ฮ่องเต้น้อยก็จะเหลือเวลาอีกแค่ปีกว่า ๆ เท่านั้นแล้วไม่ใช่เหรอ?

เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เรื่องเกี่ยวกับจิ่งเทียนเรื่องนี้ คุณอย่าเพิ่งบอกกวาเอ๋อล่ะ ตอนนี้กวาเอ๋อนับว่าจิ่งเทียนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง นางอาจจะเสียใจมากก็ได้"

“ได้” ฉีฮั่วไม่ได้รู้สึกจริงจังอะไรกับเรื่องนี้เลยจริง ๆ

หยวนชิงหลิงถามอีกครั้งว่า "ถ้าอย่างนั้น เกี่ยวกับคำสาปของฮ่องเต้จิ่งเทียน คุณพอจะมีวิธีช่วยเขาแก้ไขมันได้ไหม?"

“ ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันไม่ใช่คนที่มีบุญกุศลมากมายอะไร ต้องไปหาคนมีบุญมาก ๆ มาให้ได้ ถึงจะช่วยเขาแก้ปัญหานี้ได้ หรือไม่ก็ให้เขาสร้างบุญกุศลเองก็ได้เหมือนกัน”

หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า เรื่องนี้ควรกลับไปคุยกับฟางหวูน่าจะดีกว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องของฮ่องเต้แคว้นอื่น แต่เขากับเจ้าห้าต่างก็ติดเชื้อหนอนน้ำแข็งเหมือนกัน ก็ถือว่ามีชะตากรรมเดียวกัน ถ้าพอจะช่วยอะไรได้ก็ควรช่วย นอกจากนี้ เขากับกวาเอ๋อก็ได้เจรจาเรื่องการพัฒนาเหมืองร่วมกันแล้ว หากแผ่นดินเปลี่ยนคนปกครอง ย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงกับต้องเกิดอุปสรรคบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน

ก่อนกลับ หยวนชิงหลิงรีบไปที่ทะเลสาบน้ำแข็งที่อยู่ใกล้กับที่ที่เมื่อก่อน จิ่งเทียนเคยอาศัยอยู่แห่งนั้น เก็บเอาน้ำแข็งสองสามก้อนกลับไป แล้วใส่ไว้ในเหยือกใบเล็ก ๆ ต่อให้น้ำแข็งจะละลายก็ไม่เป็นไร

ก่อนออกเดินทางกลับ หยวนชิงหลิงยังจงใจถามถึงลักษณะนิสัย อารมณ์ บุคลิกภาพของน้องชายของฮ่องเต้จิ่งเทียนว่าเป็นคนแบบไหน ปฏิบัติต่อคนอื่นยังไงบ้าง เป็นต้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน