บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1862

คนที่แซ่ซ้องร้องเพลงสรรเสริญราชวงศ์คนนั้น ได้ดึงดูดคนหนุ่มสาวที่โกรธเคืองหลายคนขึ้นมาทันที พวกเขาคิดว่าราชสำนักต่างหาก ที่มีหน้าที่ดูแลให้ประชาชนได้รับการรักษา นี่คือสิ่งที่ราชสำนักควรทำ และยังทำได้ไม่ดีพอด้วย จึงไม่ควรต้องแซ่ซ้องสรรเสริญ เพื่อไม่ให้ราชสำนักเย่อหยิ่งจนสำคัญตัวผิด

แน่นอนว่าคนที่พูดประโยคนี้ ก็ไปดึงดูดคนอีกหลายคนที่ฟังแล้วแสลงหูขึ้นมาอีก คำแปลที่ได้ก็ประมาณว่า "เวลากินข้าว ก็ไม่ใช่ว่าต้องกินทีละคำ ๆ หรอกหรือ? เจ้าจะกินคำเดียวแบบกลืนช้างลงไปทั้งตัวรึ? เงินที่เปิดโรงเรียนหมอ เป็นบ้านเจ้าจ่ายให้หมดหรือไร? ราชสำนักต้องดูแลคนมากมายขนาดนี้ มีตรงไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน? ถ้าเอาเงินทั้งหมดมาจ่ายให้การรักษาพยาบาล แล้วด้านการศึกษาล่ะ? การก่อสร้างซ่อมแซมถนนหนทางล่ะ? ค่าใช้จ่ายทางการทหารล่ะ?”

เวลาบัณฑิตคุยกัน เรียกว่าใช้ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ เป็นอะไรที่ส่งกลิ่นเหม็นบูดมาก

เวลาที่บัณฑิตทะเลาะกัน เรียกว่างัดคมดาบที่อาบด้วยไฟมาปะทะกัน ในงานปะทุไปด้วยสะเก็ดไฟลั่นแปลบปลาบ เจ้ามาข้าไป เสียดแทงแก้วหูจนอื้ออึง

ในที่สุดหัวข้อนี้ก็จบลง และเมื่อถึงหัวข้อต่อไป ก็เริ่มทะเลาะกันอีก

เมื่อเห็นสถานการณ์ที่รุนแรงในที่งาน ซาลาเปาก็อดตกใจไม่ได้ หันไปมองท่านฉู่ที่กำลังดื่มชาอย่างสงบนิ่ง ราวกับว่าในชีวิตนี้ เขาได้เห็นการทะเลาะกันในลักษณะนี้มาแล้วไม่น้อย ถึงขั้นที่เห็นเป็นแค่เรื่องเด็ก ๆ เลยด้วยซ้ำ

ท่านฉู่คิดอย่างนั้นจริง ๆ รู้สึกว่าสงครามครั้งใหญ่วันนี้ คงจะไม่มีทางหลุดเข้าเน่ย์เก๋อแน่

เมื่อเน่ย์เก๋อทะเลาะกัน นั่นต่างหากที่เรียกว่าก่อเขม่าควันไฟที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนของจริง ทุกครั้งที่มันร้อนแรงขึ้นมา พวกเขาจะทักทายบรรพบุรุษของกันและกันไปจนถึงสิบแปดรุ่น ด้วยคำพูดที่สุภาพที่สุด

แต่นั่นก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง

ท้ายที่สุดแล้ว หลังการโต้วาทะจบลงทุกครั้ง ล้วนเป็นตัวแทนของผลประโยชน์อันมหาศาล ถ้าทะเลาะกันแล้วได้ข้อสรุปออกมา อย่างไรก็ต้องทะเลาะ

ดังนั้นฉากเหตุการณ์ในวันนี้ เขาจึงแค่ดื่มชาแล้วแทะเมล็ดแตงโมอย่างใจเย็นต่อไปก็พอ

แต่น่าเสียดายที่เป็นแค่การทะเลาะกันเสียงดัง จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำพูดเจ็บ ๆ ที่ทิ่มแทงหรือโหดร้ายออกมาให้ได้ยินนัก

เมื่อถึงช่วงกลางงาน ซาลาเปาเข้าควบคุมงาน ตั้งคำถามขึ้นมาประเด็นหนึ่ง นั่นคือสรุปแล้วระหว่างเศรษฐกิจการค้ากับเกษตรกรรม สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน

เขาอยากลองฟังสิ่งที่โจวเม่าพูด

คำพูดนี้ของโจวเม่า ก็มีคนหักล้างเช่นกัน มีหลายคนยืนขึ้นมาเถียงกับเขาว่าตอนนี้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น เจริญรุ่งเรืองร่ำรวย ถึงขั้นทำการค้ากับประเทศอื่นด้วย สินค้าของเราถูกซื้อไปในหลาย ๆ ที่แม้แต่ในประเทศอื่น ๆ ก็สร้างแหล่งผลิตขึ้นด้วยเช่นกัน

โจวเม่าแย้งคำพูดเหล่านี้ง่าย ๆ ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว "การถ่ายโอนการผลิต ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างแท้จริงแล้วรึ? นี่เป็นประโยชน์ต่อเราไม่มีโทษเลยรึ? ทุกสิ่งทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย อุตสาหกรรมต่าง ๆ ถูกย้ายออกไป เมื่อคนอื่นเรียนรู้เติบโตเต็มที่ ก็จะเข้ามาแทนที่สวมรอยพวกเรา เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เราอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแล้ว"

เป็นผลให้เกิดการอภิปรายหัวข้อใหม่ขึ้นมาอีก เถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ครั้งนี้เป็นไปตามที่ท่านฉู่ต้องการแล้ว เริ่มจากถกตัวปัญหา ค่อย ๆ เบี่ยงประเด็นออกไป จนถึงขุดทั้งครอบครัวทั้งบรรพบุรุษของอีกฝ่ายมาก่นด่าเละเทะ

เมื่อการถกประเด็นกลายเป็นการทะเลาะวิวาท จนลามเป็นการโจมตีส่วนบุคคล โดยพื้นฐานแล้วการโต้เถียงจะไต่ไปถึงจุดสูงสุด แล้วจะค่อย ๆ ลดต่ำลงมาเพื่อบรรเทาความตึงเครียด

เพราะการทักทายคนในครอบครัวของอีกฝ่าย ถือเป็นเพียงประโยคบอกเล่าแค่สองสามประโยคเท่านั้น อย่างมากสุดก็คือเพิ่มคำกิริยา หรือไม่ก็คำคุณศัพท์เข้าไปนิดหน่อย พูดจนเบื่อแล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก ย่อมจะลดธงหยุดลั่นกลองรบกันไปเองเป็นธรรมดา

ผลคือ จนถึงตอนที่โจวเม่าหูแดงก่ำหน้าแดงเถือก แผดร้องตะโกนจนสุดเสียงว่า "เจ้ารอให้ทั้งครอบครัวต้องกินรำข้าวหมูก่อนเถอะ" ทุกคนถึงค่อยหยุดลงได้

เพราะเสียงของทุกคนแหบแห้งจนพูดไม่ออกแล้วนั่นเอง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน