ทุกคนคุยสัพเพเหระกันจนเกือบถึงเช้า ค่อยกลับไปงีบหลับเอาแรงครู่สั้น ๆ
รอจนตะวันขึ้นสูง ก็เริ่มออกเดินทางต่อ
ทุกคนรู้สึกว่าเจ้าตาทับทิมเดินช้าเกินไป ทังหยวนจึงไปขอให้พี่ใหญ่แบกนางขึ้นหลังเดินดีกว่า
แต่หยู่เหวินหลี่กลับยืนกรานให้เจ้าตาทับทิมเดินเองช้า ๆ เพราะอย่างไรก็ไม่ได้รีบกันอยู่แล้ว
ทังหยวนหัวเราะพลางพูดว่า "นี่ขนาดเจ้าตาทับทิมบอกว่าอยากแต่งให้พี่ แล้วพี่ก็ตอบตกลงด้วย ทำไมถึงแบกขึ้นหลังเดินไม่ได้ล่ะ? พี่ใหญ่ช่างไม่รู้วิธีเอาใจเด็กผู้หญิงเลยซักนิด"
หยู่เหวินหลี่จูงข้อมือของเจ้าตาทับทิม พาเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ๆ ปากก็พูดไปด้วยว่า "ถ้าคนสองคนมาถึงจุดที่จะเดินไปด้วยกัน นั่นคือการที่ทั้งสองฝ่ายต่างเรียนรู้ที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน ก้าวหน้าไปด้วยกัน แต่ไม่ใช่แบกรับทุกอย่างไว้เองทั้งหมด"
แน่นอนว่าการแบกนางขึ้นหลังเดินมันง่าย แต่ที่ยากคือการเดินเองทีละก้าว ๆ นอกจากต้องใช้ความอดทนที่มากพอแล้ว ยังต้องแก้ไขข้อผิดพลาดบางอย่างของนางด้วย แบบนี้ถึงจะเดินได้ดีขึ้น
ถ้าเขาไม่เรียนรู้ไปด้วยกันกับนาง แล้วใครจะเรียนรู้ร่วมกับนางล่ะ? คาดหวังให้คนอื่นพาไปเรียนรู้แทนรึ?
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีเรียนรู้การเดินไม่มีทางลัด ทำได้แค่เดินให้มาก ๆ จึงต้องอาศัยช่วงที่เขายังไม่ยุ่งฝึกฝนให้มากหน่อย
ทุกคนตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่า พี่ใหญ่ก็คือพี่ใหญ่ ไม่ว่าจะคิดการณ์อะไรก็ล้วนละเอียดรอบคอบและพิถีพิถันมาก
พวกเขาค่อย ๆ เดินไปในลักษณะนี้ จนในที่สุดก็ปีนขึ้นไปถึงยอดเขาหมาป่าหิมะได้
พอขึ้นไปบนยอดเขาแล้วมองลงไป อันที่จริงคือมองไม่เห็นทิวทัศน์อะไรมากนัก เพราะทุกแห่งมีแต่เมฆและหมอกหนา ๆ ปกคลุมจนทั่ว
แต่กลับมีความรู้สึกว่า ตัวเองประสบความสำเร็จเป็นพิเศษ หัวใจหลักของการปีนเขา คือการเพลิดเพลินไปกับการเดินทางระหว่างการปีนเขานั่นเอง
หมาป่าหิมะกลับไปหาเผ่าหมาป่าแล้ว เห็นแค่หมาป่าหิมะวิ่งทะยานอยู่บนยอดเขา ร่าเริงมีชีวิตชีวา เหมือนก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงกับทำให้คนมองหูตาพร่างพราย แต่กลับให้ความรู้สึกสดชื่น
นี่เป็นครั้งแรก ที่บรรดาพี่ชายน้องสาวได้นำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มารวมกลุ่มกัน ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อทำสิ่งที่แสนจะธรรมดา แต่กลับมีความหมายอย่างยิ่ง
แต่ในเวลานี้ทุกคนต่างไม่พูดอะไรทั้งนั้น แค่มองดูทะเลหมอกกับยอดเขาอันสูงตระหง่านกันอย่างเงียบ ๆ
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้นมาว่า "นี่คือแผ่นดินเป่ยถังของพวกเราสินะ"
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกเปล่งออกมา ในใจของทุกคนพลันเกิดความรู้สึกหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจ เป็นผลให้ความรู้สึกสำนึกในหน้าที่ของคนตระกูลหยู่เหวินถือกำเนิดตามขึ้นมาติด ๆ
ในใจของทุกคนแอบตั้งสัตย์สาบานไว้ว่า ดินแดนแห่งนี้ จะต้องปกป้องเอาไว้ให้ดีที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...