บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 456

เสียนเฟยถูกพูดสกัดใส่ไปประโยคหนึ่ง สีหน้าจึงหนักอึ้งจมดิ่งทันที

นางไม่ได้พูด แต่ในใจนางสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดแล้ว นางหันไปมองหยวนชิงหลิงที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนเอามือกุมท้องตัวเอง ซึ่งกำลังมองมาทางนี้อยู่พอดี นางจึงแข็งใจกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา ทั้งย่วนพ่าน หมอหลวง และนางผดุงครรภ์ล้วนอยู่ข้างใน นางพูดอย่างเคร่งเครียดจริงจังว่า: "ไทเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ ทุกคนจงคุกเข่าลงฟังคำสั่ง"

ทุกคนคุกเข่าลง แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะยังโกรธอยู่เล็กน้อย แต่เพราะนั่นเป็นพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่า เขาจึงต้องคุกเข่าลงเพื่อรับคำสั่ง

เสียนเฟยประกาศเสียงดังว่า “ไทเฮาทรงมีรับสั่งว่า หากมีสถานการณ์อันตรายใด ๆ เกิดขึ้นในระหว่างการคลอดของพระชายาฉู่ ให้ยึดหน่อเนื้อแห่งราชวงศ์เป็นสำคัญ ควรใช้ยาชนิดใด ควรใช้วิธีการใด ล้วนต้องคิดถึงการรักษาเด็กในครรภ์ให้รอด...”

ประโยคสุดท้าย นางมองไปที่หยวนชิงหลิง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “แม้ว่าจะต้องเสียสละแม่ที่คลอดก็ตาม!”

หยวนชิงหลิงที่เพิ่งอดทนต่ออาการหดตัวไปครั้งหนึ่ง ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ก็ถึงกับตกตะลึง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดเผือดสีไปทันที

หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืนทันที แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ท่านแม่ปลอมแปลงรับสั่งในพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่าเช่นนี้ คงรู้ใช่หรือไม่ว่ามีโทษร้ายแรงเพียงใด?”

เขากวาดตามองทุกคนอย่างเย็นชา “พระราชเสาวนีย์นี้ ข้าสงสัยว่ามีความเท็จ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปสนใจอะไรทั้งสิ้น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ให้ยึดเอาพระชายาเป็นสำคัญ ท่านแม่ โปรดออกมากับข้า”

เขาดึงเสียนเฟยด้วยมือข้างเดียว แล้วลากนางออกไปทันที

เสียนเฟยตวาดอย่างขุ่นเคือง “เจ้าช่างบังอาจนัก!”

เขาไม่สนใจ แล้วก็ไม่แยแสเสียนเฟยที่ต่อสู้ดิ้นรนด่าเกรี้ยวกราดด้วย เขาเอาแต่ลากนางออกไปไกลมาก จนกระทั่งไปถึงที่ที่ไม่มีคน จึงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ท่านแม่ ท่านคิดว่าลูกเศร้าหรือไม่?”

เสียนเฟยสะบัดแขนเสื้อ แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า: "มีอะไรน่าเศร้ากัน? หากเจ้าไม่ฟังคำแม่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องน่าเศร้า"

“ไม่น่าเศร้าหรือ?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกเพียงว่า เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเผาไหม้จนหัวใจปวดแสบปวดร้อนไปหมด มันเจ็บปวดจนน้ำตาของเขาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว เขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ ลูกสะใภ้ของท่านกำลังเตรียมจะคลอดลูก ทุกคนล้วนวิตกกังวล ต่างพากันสวดอธิษฐานขอให้นางปลอดภัย แม้แต่คนภายนอกที่ไม่รู้จักนาง ก็ยังหวังว่านางจะคลอดลูกออกมาได้อย่างราบรื่น แล้วท่านล่ะ? กระทั่งคำพูดปลอบโยนให้กำลังใจซักคำก็ยังไม่มี หนำซ้ำยังปลอมแปลงพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่า ให้รักษาแค่ลูกยอมสละแม่ที่คลอด ? ข้าจะบอกท่านให้นะ นับตั้งแต่เจ้าหยวนท้องมาจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยมีชีวิตที่สงบสุขเลยแม้เพียงซักวัน ข้าเองก็เช่นกัน นางอดทนผ่านเส้นทางที่ยากลำบากขนาดนี้มาอย่างไร? ท่านแม่ไม่เคยรู้หรอก วัน ๆ ท่านแม่กินอิ่มนอนสบายอยู่ในวัง คิดเพียงแค่ว่าตัวเองจะปีนไต่ขึ้นไปเป็นฮองไทเฮาได้อย่างไร ข้ากับเจ้าหยวนต้องอดทนฝ่าฟันอุปสรรค ต้องทุกข์ยากลำบากขนาดไหน กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ท่านไม่เคยสนใจซักนิด นางต้องทนทุกข์เพียงใด เหนื่อยยากแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยสนใจเลย จนวันนี้นางกำลังจะคลอดลูก ท่านมาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็มาอ้าปากพ่นวาจาร้ายกาจอย่างให้รักษาลูกยอมสละแม่ ท่านก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันแท้ ๆ ทำไมถึงได้พูดอะไรที่มันโหดร้ายขนาดนี้ออกมาได้ ? นี่ท่านกำลังพยายามบังคับให้นางไปตายใช่หรือไม่?"

เสียนเฟยมองเขา พลางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ดูเจ้าสิ ตอนนี้เจ้าดูเหมือนตัวอะไรไปแล้ว? เจ้าไร้สติเกินไปแล้ว นางจะเป็นแม่คน ไม่ว่านางต้องทนทุกข์เพียงไร เหนื่อยยากเพียงใด ล้วนเป็นเรื่องปกติที่นางต้องเผชิญอยู่แล้ว เทียบกับตอนที่แม่คลอดเจ้ากับน้องสาวของเจ้า หรือเจ้าคิดว่าแม่ไม่ทุกข์ยากลำบากอย่างนั้นหรือ? เจ้าห้า เจ้าคิดอย่างนี้ไม่ได้นะ วันนี้สภาพของนางเป็นเช่นไร เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจดี ไม่ใช่ว่าแม่อยากจะบีบให้นางไปตาย แต่สวรรค์ต้องการจะรับตัวนางไป นางอดทนจนผ่านมันไปไม่ได้หรอก เจ้าก็เห็นแล้วว่า แม้แต่แรงจะหายใจนางก็แทบไม่มีอยู่แล้ว นางจะคลอดไหวได้อย่างไรกัน? ฟังแม่เถอะนะ ให้ยาเร่งคลอดหนัก ๆ ไปเลย ถ้าคลอดออกมาได้หนึ่งคน ก็คือหนึ่งคน ส่วนที่เหลือก็ค่อยดึงออกมาทีหลังก็ได้ เจ้ารู้หรือไม่ ? แม่ไปถามเรื่องนี้มาแล้ว ขอเพียงดึงออกมาได้ทันเวลา เด็กก็ยังมีโอกาสรอด...”

“ท่านหุบปากเดี๋ยวนี้!” หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็โกรธจนร่างทั้งร่างแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว เขาชี้เสียนเฟย แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “หากท่านยังมีความคิดเช่นนี้ ข้าไม่อาจยอมอนุญาตให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ข้าจะสั่งคนให้ไปส่งท่านกลับวังทันที”

เสียนเฟยก็โกรธจนหัวใจแทบจะระเบิดแล้วเช่นกัน แต่นางก็รู้นิสัยของเขาดี จึงไม่อาจใช้ไม้แข็งต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นเกิดเด็กคนนี้โมโหโทโสขึ้นมา เขาต้องส่งนางกลับวังไปจริง ๆ แน่ นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า “ ได้ ถ้านี่เป็นสิ่งที่เจ้าเลือกแล้ว แม่ก็จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า”

หยู่เหวินเห้ารู้ถึงนิสัยตามธรรมชาติของแม่ตัวเองดี หลังจากกลับไป จึงเรียกให้แม่นมสี่มาคอยจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด สิ่งใดก็ตามที่ไม่เอื้อประโยชน์อันดีต่อหยวนชิงหลิง ต้องรีบหยุดรั้งเอาไว้ก่อน ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร เขาจะรับผิดชอบเอง

เขารีบกลับมาอยู่ข้างกายหยวนชิงหลิง กุมมือนางไว้แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “หยวน เจ้าไม่ต้องไปฟังคำพูดของนางหรอกนะ เสด็จย่าทรงเชื่อในพระพุทธศาสนา ซึ่งท่านทรงเคร่งครัดในข้อห้ามทั้งหลายอย่างยิ่ง ในเวลาที่เจ้าใกล้คลอดเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ใครมาส่งสารเช่นนี้แน่ คำสั่งนี้ล้วนเป็นความคิดเห็นที่นางพูดเองฝ่ายเดียว ไม่ต้องไปฟังใครทั้งสิ้น ฟังแค่ข้าคนเดียวพอ เข้าใจหรือไม่? พวกเราสามีภรรยาร่วมแรงแข็งขัน ฝ่าฟันชะตากรรมไปด้วยกัน!"

รอยยิ้มซีดเซียวลอยอยู่ที่มุมปากของหยวนชิงหลิง"คำพูดเหล่านี้ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินคนอื่นพูดมามากแล้วล่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะถึงตาตัวเองมาได้ยินเองบ้าง ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก"

นางไม่สนหรอกว่าเสียนเฟยจะคิดอย่างไร แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ในใจคงจะรู้สึกไม่สบายใจมาก ๆ อย่างแน่นอน

“นางแซ่ซู ที่เจ้าแต่งให้คือแซ่หยู่เหวิน ไม่ใช่แซ่ซู จำได้หรือไม่?” ริมฝีปากของหยู่เหวินเห้าประทับลงบนหน้าผากของนาง ในใจทั้งรู้สึกเจ็บปวด ตื่นตระหนก โกรธเคืองปะปนกันยุ่งเหยิง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน