บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 569

หยู่เหวินเห้าได้ยินที่นางพูด จึงยิ้มพลางพูดว่า "วางใจเถอะ เจ้าเป็นคนโอบอ้อมอารี เหล่าทวยเทพจะต้องได้ยินเสียงในใจของเจ้า แล้วบันดาลให้เจ้าสมปรารถนาอย่างแน่นอน สำหรับข้า ข้าขอภาวนาให้เป่ยถัง ให้หยวนชิงหลิงกับลูก ๆ มีชีวิตสงบสุขปลอดภัย แล้วก็ขอให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”

สวีอีอดพูดขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว “นายท่าน ท่านจะพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาไม่ได้ขอรับ ท่านต้องภาวนาต่อหน้าทวยเทพแบบเงียบ ๆ ถึงจะศักดิ์สิทธิ์”

จะนมัสการเทพเจ้าก็มีกฎเกณฑ์ด้วยเช่นกัน ท่านไม่รู้หรอกหรือ?

หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "เจ้าจะรู้ไปอะไร? หากมีอะไรในใจก็ต้องพูดออกมาดัง ๆ สิ ไม่อย่างนั้นมีผู้คนมากมายมาขอพร เหล่าทวยเทพต้องมาคอยเดาจิตใจของคนทีละคน ๆ แบบนี้ จะไม่เหนื่อยแย่หรอกรึ? พวกเราจะขอพรให้มันชัดเจนแจ่มแจ้งหน่อยไม่ได้หรือไร? ถือเสียว่าช่วยลดภาระให้เหล่าทวยเทพต้องลำบากน้อยลงด้วย”

สวีอีได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมาก แต่เหตุผลก็ส่วนเหตุผล และกฎก็คือกฎ เพราะถึงอย่างไร ที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่พูดกันด้วยเหตุผล

เพียงแต่ เขาแอบเหลือบมองหมัดของหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง ไม่ว่าจะคุยเรื่องเหตุผลหรือกฎเกณฑ์กับนายท่านตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทางที่ดีคือควรจะสงบปากสงบคำไว้จะดีที่สุด

ตลอดทางขึ้นไปบนภูเขา ทิวทัศน์งดงามไร้ขอบเขต ทั้งสองคนดึงดูดสายตาของบรรดาผู้แสวงบุญและนักวรรณกรรมได้ไม่น้อย มีบางคนที่แอบดู มีบางคนที่จ้องอย่างเปิดเผยไร้ยางอาย ถึงขั้นที่ว่า มีกระทั่งผู้หญิงบางคนแสร้งทำเป็นเดินชนกับหยู่เหวินเห้าแบบไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็รอให้เขาเข้ามาช่วยพยุงด้วยท่าทางอ่อนแอน่าสงสาร

แต่เห็นได้ชัดว่า หยู่เหวินเห้าไม่ใช่คนที่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาอะไร เขาเองเพิ่งจะอายุยี่สิบต้น ๆ แต่กลับขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่ป้า! เวลาเดินระวังหน่อยสิ เดินมาชนข้าก็ยังไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าไปชนใส่ภรรยาที่อ่อนแอบอบบางของข้าเข้าล่ะ”

สาวงามถึงกับสะดุ้ง หัวใจแตกละเอียดราวเศษแก้ว นางยกมือขึ้นปิดใบหน้าที่อาบน้ำตา แล้วรีบวิ่งลงจากภูเขาไปทันที

หยวนชิงหลิงหัวเราะจนตัวงอเลยทีเดียว

สรวลเสเฮฮากันอยู่ครู่ใหญ่ แม้จะเหนื่อยมาก แต่ก็ขึ้นมาถึงบนยอดสูงสุดจนได้

บนยอดเขามีวิหารเทพแห่งหนึ่งถูกสร้างอยู่บนนั้น เพื่อบูชาแด่หยวนสื่อเทียนจุน

มีผู้แสวงบุญมากที่สุดที่นี่ เบียดเสียดเยียดยัดกันจนแทบจะเข้าไปไม่ได้ ยังดีที่มีสวีอี เขาซื้อธูปแล้วจุดไฟก่อน จากนั้นจึงถือธูปยาวแล้วใช้ร่างกายสูงใหญ่เดินแทรกฝูงชนเข้าไป ปากก็ร้องตะโกนเสียงดังว่า " ทุกคนระวังธูปติดไฟด้วย โปรดระวังธูปติดไฟด้วย"

เมื่อทุกคนเห็นดังนั้น ต่างก็กลัวว่าเขาจะไม่ระวังจนทำธูปมาจี้ใส่ให้ได้รับบาดเจ็บ จึงรีบถอยกันทันที ด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงถูกสวีอีกำจัดให้พ้นทาง จนสามารถนำหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงและหมันเอ๋อเข้าไปข้างในได้สำเร็จ

ในวิหาร มีรูปปั้นเทพหยวนสื่อเทียนจุนตั้งเป็นประธานอยู่ตรงกลาง ใช้รั้วสีแดงล้อมรอบเอาไว้ ที่กลางวิหารวางเบาะรองไว้ให้ผู้แสวงบุญได้คุกเข่าขอพร

ภายในรั้วมีบรรดาธูปเทียนเครื่องหอม รวมทั้งเครื่องบูชาต่าง ๆ วางเรียงรายจนเต็มโต๊ะ มีคนปักธูปตลอดเวลาไม่ขาดสาย และเจ้าหน้าที่ของวัดก็จะคอยเก็บธูปออกไปตลอดเช่นกัน เพื่อรักษาสภาพให้ธูปเหล่านั้นอยู่ในสภาพที่ไม่อิ่มตัว จนคนที่มาทีหลังไม่สามารถปักได้

ตอนยุคปัจจุบัน หยวนชิงหลิงก็เคยไปเที่ยวสถานที่แบบวัดวาอารามวิหารเทพมาก่อน ซึ่งดูลักษณะแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก แล้วก็ยังมีน้ำมันหอม กล่องรับบริจาควางเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทาง เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้บริจาคด้วย

สวีอีปักธูปแล้วรอจนกระทั่งคนที่คุกเข่าลุกขึ้นยืน เขาก็กระโดดไปข้างหน้าแล้วกลิ้งอีกหนึ่งตลบ จนยึดเอาเบาะนั่งมาได้สี่ที่ เขาไม่ยอมลุกขึ้น ยกมือกวักเรียกหยู่เหวินเห้าอย่างรวดเร็ว "นายท่านรีบมาเร็วเข้า มีที่นั่งแล้ว "

หยู่เหวินเห้ารีบดึงหยวนชิงหลิงเข้าไป แล้วคุกเข่าลงบนเบาะดังตึง โดยไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งหรือการสงวนท่าทีในแบบองค์ชายรัชทายาทเลยแม้แต่น้อย มาขอพรทั้งที ในสายตาของเหล่าทวยเทพ ผู้คนในใต้หล้าแห่งนี้ก็เหมือนกันหมดนั่นล่ะ ท่านไม่มัวคำนึงถึงสถานะของพวกเขาว่าใครสูงใครต่ำหรอก

หยู่เหวินเห้าพูดด้วยเสียงดังสนั่นเหมือนระฆังว่า "ข้าขออธิษฐานต่อหยวนสื่อเทียนจุน โปรดคุ้มครองภรรยาและลูก ๆ ของข้าให้แข็งแรงปลอดภัย ให้ข้าได้อยู่กับภรรยาตลอดไปไม่มีวันแยกจากด้วยเถิด"

พูดจบเขาก็ก้มศีรษะลงโขกคำนับ ไม่สนใจสายตาของทุกคนที่จ้องมองมาแม้แต่น้อย

สวีอีรู้สึกว่าเขาขาดมารยาทอยู่ไม่น้อย จึงพยายามเลี่ยงทำเป็นไม่รู้จักโดยไม่รู้ตัว ถึงกับพยายามจะบอกใครต่อใครว่าพวกเขาไม่ได้มาด้วยกัน

แต่หยวนชิงหลิงกลับรู้สึกซาบซึ้งมาก แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนที่ทำอะไรเด๋อด๋าในบางครั้ง แต่เขาก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมา และมักจะทำอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้สึกซาบซึ้งใจได้แบบไม่ตั้งใจเสมอ ๆ

หยวนชิงหลิงไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ แต่อธิษฐานขอพรในใจอย่างเงียบ ๆ จนสุดท้ายค่อยพูดออกมาเบา ๆ ว่า " ข้าหวังว่าจะมีโอกาสได้พบพ่อแม่และญาติพี่น้องอีกสักครั้งในชีวิต แม้ว่าจะได้พบหน้ากันแค่ครั้งเดียว ก็เพียงพอดั่งที่ใจข้าปรารถนาแล้ว"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน