บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 789

สุดท้ายหยู่เหวินเห้าก็ส่ายหน้า “รอพระบัญชาก่อนเถอะ พวกเราไม่สามารถเข้าไปในห้องเก็บศพโดยพลการได้ ”

ทุกคนต่างนิ่งเงียบ หากไม่มีพระบัญชา ก็เข้าไปสำรวจข้างในโดยพลการไม่ได้จริงๆ ตามแผนที่วังใต้ดินแล้ว จะเข้าสู่ทางสวิ้นจ้าง ยังต้องผ่านอีกหนึ่งประตู ผ่านทางสวิ้นจ้างเดินต่อเข้าไปข้างใน ก็เป็นจุดศูนย์กลางของวังใต้ดินที่เป็นสุสานจักรพรรดิใช้วางโลงศพเอาไว้

พี่น้องทั้งหลาย เฝ้ารอพระบัญชาจากเมืองหลวงด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้ง หยู่เหวินเห้าอยู่ในตำหนักเสี่ยงเอินด้วยความอุดอู้ จึงได้เดินออกมาข้างนอก

มองดูความมืดมิดยามราตรีที่ปกคลุมลงมาอย่างหนาหนัก ลมในฤดูใบไม้ร่วงผัดผ่าน รอบๆตัวเหมือนจะมีเสียงนกกลางคืนร้อง เกิดความรู้สึกเปล่าเปลี่ยววังเวงขึ้นมาอย่างกะทันหัน

หยู่เหวินเห้าค่อยๆเดินไปข้างหน้า จากสุสานหลวงด้านตะวันตกเดินไปจนถึงสุสานหลวงด้านตะวันออกใช้เวลาครึ่งชั่วยามจึงจะถึง ทันใดนั้นเขาก็หยุดฝีเท้ายืนนิ่ง หันหน้ากลับไปมองสุสานหลวงด้านตะวันตก ในหัวใจเหมือนรู้สึกมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง

วันนี้ตอนที่มาถึงสุสานหลวงด้านตะวันออก ก็มีคนได้ไปทำพิธีจุดธูปรายงานยังสุสานจักรพรรดิทุกที่แล้ว แต่ว่า การจุดธูปควรจุดที่ตำหนักด้านบนของสุสานจักรพรรดิ ทำไมต้องเข้าไปในสุสานด้วยเล่า

ยังมีอีกเรื่องคือตั้งแต่สุสานหลวงด้านตะวันออกไปจนถึงสุสานหลวงด้านตะวันตก แม้จะใช้การวิ่งอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองก้านธูปกว่า นี่ยังไม่นับรวมกับเวลาที่ใช้ไปในการทำพิธีกราบไหว้ที่ตำหนักเสี่ยงเอินหลังจากไปถึงสุสานด้านตะวันตกแล้ว

แต่ว่า เขาจำได้ว่าคนที่มารายงาน ได้วิ่งกลับมารายงานทั้งที่เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปเท่านั้น

ตอนนั้นที่พวกเขาไปยังสุสานหลวงด้านตะวันตก ใช้การควบม้า จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องระยะทาง หรือพูดอีกที คนที่จุดธูป ยังไปไม่ถึงสุสานด้านตะวันตกด้วยซ้ำก็เร่งฝีเท้ากลับมารายงานแล้ว

หรือเขาจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสุสานหลวงด้านตะวันตกถูกทำลาย

ก็หมายความว่า คนที่ทำลายสุสานหลงด้านตะวันตก จงใจให้พวกเขาได้เห็น

แต่ว่า ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ถ้าหากคนคนนี้ต้องการจงใจบอกให้รู้ สามารถไปถึงสุสานด้านตะวันตกก่อนค่อยกลับมา ทำไมต้องวิ่งกลับมาทั้งที่ไปถึงแค่ครึ่งทาง ไม่ได้ขาดเหลือเวลาตรงนี้เสียหน่อย

คิดถึงตรงนี้ หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาขึ้นมาทันที ในสุสานของฮ่องเต้ฮุยจง นอกเสียจากจะมีบางสิ่งแอบซุ่มหรือมีแผนการร้ายก็เป็นได้

เขาครุ่นคิด รีบเดินกลับไปยังตำหนักเสี่ยงเอิน เล่าความสงสัยในใจของตนให้กับพี่น้องของตัวเองฟัง

สมองของอ๋องอันค่อนข้างแจ่มชัด พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็ระแวงขึ้นมาทันที “วันนี้คนที่ล่วงหน้ามาจุดธูปให้กับฮ่องเต้ฮุยจง เป็นคนของกรมพิธีการหรือ”

“ไม่ใช่คนของกรมพิธีการก็คงเป็นคนในราชวงศ์ คนของกรมวังมีแต่เหล่าขันที คงไม่มีการจัดให้ขันทีมาจุดธูป”อ๋องซุนพูด

หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ไม่ใช่คนในราชสกุล ถ้าหากเป็นคนในราชสกุล ทำไมพวกเราจึงไม่รู้จัก”

อ๋องซุนมองหยู่เหวินเห้าและถามขึ้น “พิธีฝังศพ มีอ๋องชินเป่าเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ เรื่องนี้จะส่งคนไปถามเขาดูหรือไม่ แต่พูดแล้วก็น่าแปลก ทำไมวันนี้เขาไม่ตามมาด้วย ”

หยู่เหวินเห้าค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา อ๋องชินเป่า เป็นอ๋องชินเป่าอีกแล้ว

ช่วงนี้คนของเสี้ยวหงเฉินตามเขาอยู่ตลอด ไม่ได้พบพิรุธอะไร ยิ่งไม่พบเห็นเขาไปมาหาสู่กับใครเลย กิจวัตรประจำวันถ้าไม่ไปฟังนิทานที่ร้านชา ก็ไปยังตลาดนกเพื่อเล่นนก ไม่อย่างนั้นก็ไปยังตลาดของเก่าเพื่อเสาะหาของเก่า ขึ้นหนึ่งค่ำกับสิบห้าค่ำจะเข้าวัง ระหว่างนั้นก็พูดคุยกับคนอื่นน้อยมาก

เสี้ยวหงเฉินให้ส่งคนเข้าไปแทรกซึมในจวนอ๋องชินเป่า ข่าวคราวที่ได้มาล้วนไม่มีจุดน่าสงสัย ที่ไปมาหาสู่กับเขาส่วนใหญ่ก็เป็นคนในราชวงศ์ เวลาที่อยู่ในจวนแทบจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องบ้านเมืองเลย

คนเช่นนี้ เขาน่าสงสัยหรือ

แต่ถ้าหากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องเลยสักนิด แต่กลับเหมือนมีความเกี่ยวข้องที่โยงใยไปทั่ว

ในสุสานหลวงด้านตะวันตก มีปัญหาอะไรกันแน่

หยู่เหวินเห้าเดินออกไปเรียกตัวจางเทียนมา “ในขบวนส่งศพนั้น ตอนนี้ยังมีท่านอ๋องหรือใต้เท้าคนไหนอยู่อีกหรือไม่”

จางเทียนเฝ้าอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกกลัวหรือว่าเพราะอากาศหนาวเย็นในตอนกลางคืนของฤดูใบไม้ร่วง เขาได้แต่ตัวสั่น “เรียน ……เรียนรัชทายาท คนที่สามารถกำกับดูแลได้ตอนนี้ยังมีอ๋องชินลุ่ย เลขานุการกรมพิธีการและอู๋กงกงแห่งกรมวังยังอยู่”

“เรื่องของสุสานหลวงด้านตะวันตก พวกเขารู้หรือยัง”หยู่เหวินเห้าถาม

ฮ่องเต้หมิงหยวนอนุญาต “พวกเจ้าระวังตัวกันหน่อย ระวังจะมีคนวางกับดักเอาไว้ข้างใน หลังจากเข้าไปในวังใต้ดินแล้ว ห้ามนำคบเพลิงเข้าไป ในวังใต้ดิน มีไข่มุกราตรีคอยส่องสว่างอยู่ แม้แต่ประกายไฟก็มีไม่ได้ เข้าใจหรือไม่ ”

หยู่เหวินเห้ารู้ว่าชั้นบนของวังใต้ดินได้มีการราดน้ำมันไว้เต็มไปหมด จะให้เจอกับประกายไฟไม่ได้เด็ดขาด พูดว่า “ลูกเข้าใจแล้ว”

เพราะว่าต้องเข้าไปยังวังใต้ดิน ฉะนั้นหยู่เหวินเห้าไม่ได้ให้ทหารรักษาพระองค์คนอื่นๆตามเข้าไปด้วย แต่มีเพียงเขากับกู้ซือและอ๋องอันสามคนเท่านั้นที่เข้าไปพร้อมกันก็พอ

สุสานจักรพรรดิกินพื้นที่ทั้งหมดแปดหมื่นกว่าไร่ สุสานหลวงด้านตะวันตกมีพื้นที่หกพันกว่าไร่ ลานของสุสานกับตำหนักเสี่ยงเอินก็กินพื้นที่ไปสี่ไร่กว่าแล้ว ที่เหลือล้วนถูกนำมาใช้สร้างเป็นสุสานจักรพรรดิ

ในตำหนักเสี่ยงเอินมีแผนที่ของสุสานจักรพรรดิ ทั้งสามคนต่างก็ดูหนึ่งรอบจึงเริ่มออกเดินทาง หลังจากเข้าสู่ประตูสุสานแล้ว ก็เป็นทางเดินในสุสานที่ทอดยาว ทางเดินในสุสานปูด้วยแผ่นหินอ่อน ผ่านทางเดินในสุสานไปแล้วก็เข้าสู่ทางเดินหลังประตูวังใต้ดิน เป็นทางเทพเจ้าที่กว้างขวางขึ้นมาหน่อย

ทางเทพเจ้านั้นเชื่อมต่อกับวังใต้ดิน ด้วยเหตุนี้กระเบื้องปูพื้นถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นหินต้าหลี่ ถูกขัดจนเรียบและขึ้นเงา ถือคบเพลิงเข้าไปด้านใน กระเบื้องส่องสว่างจนสะท้อนเงาคน

เดินไปข้างหน้า ก็เป็นประตูสามหินของวังใต้ดิน

ประตูสามหินนั้นทำจากแผ่นหินต้าหลี่ขนาดใหญ่สามชิ้น แค่ได้ยินชื่อก็รู้ความหมายของประตูสามหิน ตอนนี้ประตูสามหินได้ถูกทำลายแล้ว ราวกับถูกคนใช้แรงฝ่ามือทุบทำลายจนเสียหาย

ต้องการจะทำลายหินต้าหลี่ที่มีน้ำหนักกว่าพันชั่ง ถ้าไม่ใช่คนที่มีวรยุทธสูงส่งคงทำไม่ได้

ทั้งสามคนยกคบเพลิงขึ้นส่องดูชั่วครู่ ความเสียหายของประตูสามหินค่อนข้างหนัก บริเวณตรงกลางนั้นแตกละเอียดลงมา เห็นได้ชัดว่าพลังฝ่ามือของคนคนนี้ร้ายกาจมาก

“รัชทายาท เกรงว่าท่านเองก็ไม่อาจจะทำลายมันเพื่อให้เปิดออกได้”กู้ซือพูด

หยู่เหวินเห้าเองก็ส่ายหน้า “เจ้าพูดถูก ถ้าอาศัยแค่พลังฝ่ามือ ข้าไม่สามารถทำลายประตูสามหินให้เปิดได้”

“เข้าไปเถอะ”อ๋องหวยไม่ศึกษาแล้ว ลุกขึ้นพูด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน