ตอนที่ 3239 มงคลคู่มาเยือน
อาณาเขตของเมืองเทพศุภโชคเทียบเท่ากับโลกใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว
อีกทั้งตอนนั้นหลินสวินเคยปรับแก้เมืองนี้ รวมแดนลับต่างๆ อย่างแดนลับดวงกมล แดนแรกเริ่ม แดนพ่อมด แดนฌาน แดนวิญญาณเป็นต้นไว้ในเมืองนี้ ทำให้อาณาเขตของเมืองนี้ แตกต่างจากเดิมโดยสมบูรณ์
ยามหลินสวินและซย่าจื้อเดินเข้าไปในเมือง ก็เห็นบนถนนเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา คึกคักรุ่งเรือง
ความครึกครื้นที่พุ่งเข้ามาทำเอาแววตาของหลินสวินเหม่อลอย
นับดูแล้ว ตั้งแต่เขาไปจากเมืองเทพศุภโชคมุ่งหน้าสู่ทะเลโชคชะตาจนกระทั่งกลับมาครั้งนี้ ก็ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว
เมืองเทพศุภโชคในตอนนี้เห็นชัดว่าไม่เหมือนที่เขาเคยเห็นในอดีต เต็มไปด้วยทิวทัศน์สันติและคึกคัก รุ่งเรืองและงดงาม
ผู้ฝึกปราณที่เดินอยู่ภายในมาจากแต่ละอารยธรรมยุคสมัยของแหล่งสถานศุภโชค ไม่ว่าพลังปราณสูงต่ำล้วนอยู่ด้วยกันอย่างสามัคคีปรองดองและสงบสุข
พ่อค้าข้างถนนกล้าโต้เถียงกับระดับอมตะเพื่อค้าขายโอสถวิญญาณ ยามข้ารับใช้ในโรงน้ำชาพบคนสูงศักดิ์ก็รู้รุกรู้ถอย ไม่ถ่อมตนหรือเย่อหยิ่งเกินไป แม้แต่พวกคนงานพ่อค้าเร่ตัวเล็กๆ ก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่หาเรื่องกัน…
ทุกภาพเหล่านี้แสดงถึงภาพความรุ่งเรืองอันสงบสุขและครึกครื้น
“นายท่าน หลายปีมานี้นับว่ามีพวกอันธพาลไม่น้อยมาก่อเรื่องในเมือง แต่ข้าล้วนทำตามคำพูดของท่านในตอนนั้น ใช้เอ่ยกฎระเบียบกับพวกที่คุยได้ด้วยเหตุผล ใช้หมัดกับพวกที่ไม่มีเหตุผล ถึงตอนนี้ทั้งแหล่งสถานศุภโชค ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องในเมืองแล้ว”
อู๋ซวงหัวเราะเอ่ยเบิกบาน
นางสวมชุดขาว งดงามบริสุทธิ์ เหมือนเซียนน้อยอย่างไรอย่างนั้น ระหว่างทางดึงดูดความสนใจจากสายตาไม่น้อย
ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ยามสายตาของผู้คนสังเกตเห็นซย่าจื้อซึ่งอยู่ข้างๆ หลินสวิน กลับจิตใจล่องลอยคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่างโดยไม่มีข้อยกเว้น
เห็นเช่นนี้หลินสวินรีบเตือนให้ซย่าจื้อปิดบังสักหน่อย
ซย่าจื้อขานรับว่าอ้อคำหนึ่งอย่างเพิ่งรู้ตัว กลิ่นอายบนร่างเปลี่ยนแปลงเงียบๆ รูปลักษณ์งดงามยิ่งยวดที่สามารถกำราบทุกคนบนโลกนั่นเปลี่ยนเป็นดูธรรมดาลง
ระหว่างทางหลินสวินจงใจกดจิตรับรู้ไว้ ใช้เพียงสายตาและจิตใจของคนธรรมดาไปสัมผัสเรื่องต่างๆ ในเมือง ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เขาไม่ลืมปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเหล่าเมธีอย่างพวกไท่เสวียน อู๋ยางในปีนั้น ตั้งจิตเพื่อฟ้าดิน สร้างชีวิตเพื่อสรรพชีวิต ร่ำเรียนเพื่อมุ่งหน้าสู่อริยะ สร้างสันติสุขเพื่อใต้หล้า!
เทพศุภโชคแห่งนี้ก็คือทิวทัศน์แห่งสันติสุขอันยิ่งใหญ่ของใต้หล้า ภายหน้ามีตนอยู่ แผ่นดินนี้ทั้งบนล่างล้วนจะเป็นเช่นนี้
ตอนที่กำลังเดินอยู่ จู่ๆ ห่างออกไปก็มีเสียงคึกคักดุเดือดระลอกหนึ่งดังก้อง
หลินสวินเงยมองไป ก็เห็นว่าเสียงนั่นดังมาจากลานมรรคขนาดใหญ่แห่งหนึ่งกลางเมือง
“นายท่าน นี่คือลานมรรคที่ผู้อาวุโสเสวียนเฟยหลิงเปิดไว้ เพื่อเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนถกมรรค แน่นอนว่าหากผู้ฝึกปราณในเมืองเกิดความขัดแย้ง ก็สามารถมาต่อสู้ในลานมรรคนี้ได้ ถึงขั้นที่พวกที่มีความแค้นต่อกันบางส่วนก็มาตัดสินเป็นตายสะสางความแค้นที่นี่”
อู๋ซวงพูดเสียงเบา
หลินสวินพยักหน้า
อยู่ร่วมกันอย่างสันติใช่ว่าจะไม่มีความขัดแย้ง คำว่า ‘พิบัติเคราะห์’ ก็เกิดจากสิ่งนี้ การเข่นฆ่าและการต่อสู้ก็ถูกกำหนดให้ไม่มีทางหายไปจากโลก
นี่ก็คือกฎของชีวิต เพราะอุปนิสัยไม่เหมือนกัน มรรคาไม่ตรงกัน ย่อมยากจะเลี่ยงไม่ให้เกิดความผิดพลาด เภทภัย ความแค้นต่อกัน
“ไป พวกเราไปดูสักหน่อย”
หลินสวินเองก็สนใจขึ้นมาทันที พุ่งตรงไป
ลานมรรคใหญ่มาก สามารถรองรับคนได้นับหมื่น
ตอนนี้การต่อสู้เพิ่งจะจบลง บริเวณที่นั่งผู้ชมล้วนกำลังแสดงความยินดีกับเด็กหนุ่มชุดดำที่ได้รับชัยชนะ คลื่นเสียงสะเทือนฟ้า
“ไม่เสียทีที่เป็นนายน้อยเก้าของตระกูลหลินรุ่นปัจจุบัน ในร่างมีสายเลือดของตระกูลหลินไหลอยู่!”
มีคนทอดถอนใจ
“หลินเหิงตู้ เจ้ารีบอายุครบสิบแปดเร็วหน่อยสิ พี่สาวอย่างข้ารอแต่งกับเจ้าอยู่นะ!”
เด็กสาวงดงามคนหนึ่งยิ่งตื่นเต้นจนตะโกนเสียงกังวาน สองตาหลงใหล
นี่ดึงดูดเสียงกึกก้องขึ้นอีกไม่น้อย
ในลานมรรคเด็กหนุ่มชุดดำที่ถูกเรียกว่าหลินเหิงตู้ตอนแรกยังสุขุมมาก แต่หลังจากได้ยินเด็กสาวเหล่านั้นแสดงความรัก ใบหน้าหล่อเหลาของเขากลับแดงก่ำขึ้นไม่น้อย อึดอัดและเขินอายอย่างมาก รีบประสานมือคารวะไปรอบๆ แล้วหมุนตัวจากไปอย่างเร่งรีบ
“อ๊าๆๆ ข้าจะตายแล้ว น้องหลินเหิงตู้น่ารักเกินไปแล้ว…” เสียงกรีดร้องคลั่งไคล้ของเด็กสาวกลุ่มหนึ่งดังขึ้นในที่นั้น
“นายท่าน หลินเหิงตู้ผู้นี้คือลูกคนที่เก้าของคุณชายหลินฝาน ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบสี่ปี มีมรรควิถีระดับอริยะแท้แล้ว มีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองเทพศุภโชค”
อู๋ซวงยิ้มเบิกบาน “ข้าเองก็มองดูเขาเติบโตมาเช่นกัน นิสัยดีมาก เพียงแต่ยามถูกเด็กผู้หญิงจ้องมักจะเขินอาย”
“เขินอายหรือ”
หลินสวินจนคำพูด จากนั้นพลันตระหนักอะไรได้ เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ช้าก่อน เจ้าบอกว่านี่คือลูกคนที่เก้าของหลินฝานหรือ”
อู๋ซวงพยักหน้า “ใช่ เหนือนายน้อยเหิงตู้ยังมีพี่สาวสามคน พี่ชายห้าคน คนโตสุดคือนายน้อยหลินเหิงอวิ๋น ปีนี้อายุสองร้อยสามสิบเก้าปีแล้ว ตอนนี้ครอบครองมรรควิถีระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าแล้ว…”
หลินสวินทั้งประหลาดใจทั้งปลาบปลื้มใจ ดวงตาพลิวลอยเอ่ยว่า “หลินฝานเจ้าเด็กนี่… ลูกดกขนาดนี้เชียว…”
ข่าวดีนี้เขาคาดไม่ถึงจริงๆ
“ไป พวกเราไปหาเจ้าเด็กนั่นสักหน่อย”
อารมณ์ของหลินสวินไม่สามารถสงบได้เท่าไร จากไปไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ตนถึงกับมีหลานแล้ว! ทั้งยังมีถึงเก้าคน!
ฐานะเปลี่ยนเป็นปู่ในชั่วพริบตา ทำเอาสภาวะจิตของหลินสวินเกิดการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนอย่างแปลกประหลาดอยู่บ้าง
……
นอกลานมรรค
เด็กสาวชุดเขียวคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับหลินเหิงตู้
เด็กสาวจำนวนไม่น้อยที่พวกเขาเจอระหว่างทางล้วนอยากเข้าใกล้หลินเหิงตู้ กลับถูกสายตาเย็นเยียบของเด็กสาวชุดเขียวกวาดมอง ได้แต่หยุดฝีเท้าไว้ตรงนั้นอย่างขลาดกลัว กล้าเพียงมองจากไกลๆ เท่านั้น
“ท่านพี่ ท่านขู่พวกเขาทำไม ดุขนาดนี้ต่อไปผู้ชายคนไหนจะกล้าเข้าใกล้ท่าน”
หลินเหิงตู้เอ่ยขำๆ
เด็กสาวชุดเขียวแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้ามุ่งมั่นฝึกปราณ จะไปสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิงได้อย่างไร กลับเป็นเจ้านั้นแหละ เพิ่งอายุสิบสี่ อย่าได้ถูกมารยาของเด็กสาวพวกนั้นทำให้ลุ่มหลงเชียว ท่านแม่บอกไว้นานแล้วว่าก่อนจะอายุครบสิบแปด ไม่อนุญาตให้เจ้าคบหาเด็กผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์