บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 108

บทที่ 108 ใส่ใจพระชายาจิ้ง

“ไม่ได้เป็นเพราะปิ่นอันเดียว คุณหนูจี้เหยากับคุณหนูซูยังตบตีกันอยู่ข้างสระน้ำอีกด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเอาเรื่องนี้มาบอกคุณหนู” ชิงต้ายบอกความจริงอีกหนึ่งเรื่องให้กู้อ้าวเวย

“แม่นางพ่านเอ๋อไม่ได้หกล้ม แต่กลับโยนความผิดให้กู้จี้เหยา ดูเหมือนว่านางคิดจะดึงกู้จี้เหยาเข้าพวกเพื่อมารับมือกับข้า” กู้อ้าวเวยกลับเข้าใจขึ้นมาอย่างแจ่มแจ้ง ถึงอย่างไรในสายตาซูพ่านเอ๋อ กู้จี้เหยาแม้แต่คู่ต่อสู้ของนางก็ยังไม่สามารถเรียกได้

แต่ว่า เมื่อไหร่กู้จี้เหยาผู้นี้จะฉลาดขึ้น จนรู้ตัวว่าซูพ่านเอ๋อกลายเป็นศัตรูกับนางไปแล้ว?

“คุณหนู คุณหนูจี้เหยาไม่น่าเป็นกังวลอะไร แต่อาหลานที่อยู่กับจี้เหยากลับไม่ใช่คนที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ” ชิงต้ายจู่ๆ ก็หยุดเดิน

“หมายความว่าอย่างไร?” กู้อ้าวเวยกลับไม่ได้ระวังสาวใช้ที่อยู่กับกู้จี้เหยา

“บ่าวจะยกตัวอย่างให้ฟังนะเจ้าคะ เมื่อก่อนอยู่ในจวนเฉิงเสี้ยง พวกเราไม่มีใครรู้เลยว่านางเป็นหูเป็นตาของฮูหยิน จนกระทั่งคุณหนูจี้เหยาออกเรือนถึงได้รู้ ข้อสอง นางไม่ได้มีความแค้นอะไรกับจวนเฉิงเสี้ยง” ชิงต้ายกล่าวอย่างจริงจัง

หากจะบอกว่าข้อแรกเป็นเรื่องที่ปิดบังได้ไม่ง่าย แต่นางก็ไม่มีความขัดแย้งหรือความแค้นกับใคร มีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่จะเป็นไปได้ อย่างแรกก็คือคนที่มีความแค้นต่างก็ถูกนางจัดการปัญหาอย่างลับๆ อย่างที่สองก็คือนางเข้าใจการคาดเดาจิตใจของคน ไม่ว่าจะข้อไหนก็คุ้มที่จะระวังนางเอาไว้

“เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากไหนกัน?” กู้อ้าวเวยหันกลับมาถามในที่สุด นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“บ่าวไม่เคยมีความแค้นหรือความขัดแย้งกับผู้ใดในจวน ถือว่าเป็นเพศเดียวกันจึงประสานพลังเป็นหนึ่ง” ชิงต้ายหัวเราะเบาๆ คราวนี้กลับเป็นสายตาของกู้อ้าวเวยที่กำลังตะลึงตาค้างมองมาที่นาง ชิงต้ายต้องมีกลอุบายต่างๆ มากมายที่ฉลาดมากๆ ในชีวิตปกติของนาง

แต่เมื่อคิดอย่างละเอียด ตอนที่นางมาตำหนักอ๋องแรกๆ ก็ไม่ได้รับความชื่นชอบสักเท่าไหร่ แต่แม่บ้านก็ไม่ได้หักเงินอะไรจากมือของชิงต้าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าชิงต้ายจะถูกจับตาน้อยกว่าหยินเชี่ยวหรือไม่

นางลูบคางตัวเองไปมา กู้อ้าวเวยยังรู้สึกว่าตนคงสู้กับหญิงสาวเหล่านี้ไม่ได้ จึงถือโอกาสไปจัดการกับเครื่องปรุงยาจีน

ชิงต้ายที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก แค่เสียดายที่จิตใจของกู้อ้าวเวยไม่ต้องการจะสู้กับพวกนั้น จนถึงอาหารเช้าของเช้าวันต่อมา กู้จี้เหยากลับกำเริบเสิบสานกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปทะเลาะกับซูพ่านเอ๋อจนเกิดเสียงดังเอะอะโวยวาย เพราะเมื่อวานนี้ชุดที่กู้จี้เหยาส่งไปให้ซูพ่านเอ๋อถูกโยนลงต่อหน้ากู้อ้าวเวย

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าทำอะไรที่คนอื่นไม่รู้ในชุดนี้” ซูพ่านเอ๋อพูดออกมาอย่างหืดหอบ นางจับขอบโต๊ะด้วยอาการสั่นเทา

กู้อ้าวเวยหยิบชุดนั้นขึ้นมา ดมดูสักพักหนึ่งก็ขมวดคิ้วมุ่น พิษนี้เหมือนกับพิษที่เคยเจอตอนอยู่ที่บ้านริมน้ำโล่เสียมาก่อน แต่ปริมาณของมันไม่เยอะมาก แล้วใช้กลิ่นหอมของดอกไม้ปกปิดเอาไว้

“ข้าไม่เคยทำอะไรเช่นนั้น” หลังจากกู้จี้เหยาถูกใส่ร้ายก็โมโหขึ้นมา

กู้อ้าวเวยก็จัดชุดนี้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ให้ชิงต้ายเอาผ้ามาห่อเอาไว้ อีกทั้งสั่งกุ่ยเม่ยว่า “เอาชุดนี้ไปเก็บไว้ที่ร้านยาเหย้า ส่งจดหมายไปให้ท่านอ๋อง บอกว่าสมุนของโหวเซ่อยังอยู่ที่เทียนเหยียน”

“พ่ะย่ะค่ะ” กุ่ยเม่ยพยักหน้า นำของสิ่งนี้ส่งให้เฉิงอีเฉิงเอ้อไปแก้ไข

ในขณะเดียวกันกู้จี้เหยาและซูพ่านเอ๋อก็เงียบลง ในใจของซูพ่านเอ๋อรู้สึกตกใจ เมื่อก่อนทั้งๆ ที่นางตกลงกับคนของโหวเซ่อเอาไว้แล้ว ออกไปจากที่นี่ชั่วคราวอย่าเพิ่งลงมือทำอะไร ตอนนี้พิษนี้ทำไมถึงได้ตกมาอยู่ที่ตัวนางได้?

จี้เหยาเองก็แปลกใจ นางไม่เคยได้ยินโหวเซ่อมาก่อน

กู้อ้าวเวยกุมขมับ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ช่วงนี้อย่าเพิ่งออกไปข้างนอก เรื่องเสื้อผ้าอาหารของแม่นางพ่านเอ๋อส่งให้หมอเมี่ยวหารรับผิดชอบ ให้คนไปเรียกลี่วานและเหยียนจือกลับมา ไม่อนุญาตให้ใครออกไปข้างนอก”

คนที่อยู่ข้างๆ ย่อมต้องไปทำตามคำสั่งของนาง

กู้อ้าวเวยออกไปจากตำหนักอ๋องแม้แต่หัวก็ไม่หันกลับมามอง ซูพ่านเอ๋อและกู้จี้เหยาทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่ไม่มีความสามารถอะไร เมื่อเจอกับที่มันไม่ได้กระตุ้นสมอง ก็มักจะใช้คำพูดที่รุนแรงด่าคน นางเกลียดเช่นนี้เป็นที่สุด

ในตำหนักไม่สามารถเงียบสงบได้แล้ว รอจนนางเปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวสี่ฟ้าครามอ่อน ตอนที่ใส่ผ้าคลุมหน้าสีขาวหิมะตรวจอาการอยู่นั้น บนป้ายข้างตัวก็มีตัวอักษรสลักอยู่สองตัว “เอ่อร์ชิง”

นี่เป็นครั้งแรกที่มีหมอหญิงมาตรวจอาการและรักษาให้คนไข้ของร้านจี้ซื่อถาง สตรีไม่น้อยที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็ไม่พอใจกับเรื่องเช่นนี้ สตรีผู้นี้นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น เครื่องประดับบนตัวของนางก็ไม่ธรรมดา ดวงตาทั้งสองข้างก็สวยงามมาก การตรวจรักษาคนไข้เช่นนี้ยังดูสง่างามอีกด้วย

ส่วนพวกผู้ชายเหล่านั้นก็เป็นธรรมดาที่จะอยากรู้อยากเห็น จึงพากันเดินเข้ามา ก็ไม่ได้ป่วยหนักอะไร ต่างก็เป็นอาการป่วยที่ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร กู้อ้าวเวยจึงแจ้งให้แต่ละคนทราบอย่างอารมณ์ดี ถ้าหากมีคนที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย นางจะลุกออกจากที่นั่งไปจัดการช่วยคนครู่หนึ่ง

จนกระทั่งถึงเที่ยงตรง ลูกจ้างที่อยู่ข้างๆ เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก เวลานี้คนไม่มากนัก จึงส่งอาหารมาให้ “แม่นางเอ่อร์ชิง กินนี่สักหน่อยเถอะขอรับ”

“ขอบใจมาก” กู้อ้าวเวยพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา จึงดึงผ้าคลุมหน้าลงเพื่อกินข้าว ทั้งไม่ลืมหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน

เมื่อองค์ชายสามกับองค์ชายหกกลับมาจากนอกวัง ก็เห็นกู้อ้าวเวยพอดี มือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือหนึ่งถือหนังสือ มียายแก่ๆ หลังโค้งงอ ยายแก่ผู้นั้นมาจากที่ห่างกัน กู้อ้าวเวยเห็นดังนั้นจึงวางทุกอย่างในมือลง เช็ดไม้เช็ดมือก่อนจะตรวจชีพจรให้กับหญิงชรา “คุณยาย ท่านโมโหบ่อยๆ ไม่ได้นะ หากหัวใจเต้นเร็วเกินไปมันไม่ดี เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ กินมื้อละสองครั้งตอนเช้ากับตอนเย็นก็พอแล้ว”

“เจ้าค่ะ” หญิงชรายิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่ผ่านไปได้ไม่นานก็เดินกลับมา “แม่นางแต่งงานหรือยัง หลานข้า...”

“ข้าแต่งงานเป็นฮูหยินแล้วล่ะ อย่างไรก็ต้องขอบใจความหวังดีของคุณยายด้วยนะ” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ก็รีบกินข้าวให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่เห็นมีใครเข้ามา อีกทั้งยังไม่เห็นองค์ชายสามกับองค์ชายหกอยู่มองนางอยู่ในโรงเตี๊ยมข้างหน้าแล้ว ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างไม่สนใจใคร

“คิดไม่ถึงว่าพระชายาจิ้งจะออกมานั่งตรวจอาการรักษาคนไข้ได้” ซ่านเซิ่งหานพูดออกมาทันทีอย่างไม่คิดอะไร

ซ่านจวนฮ่าวเพียงแค่พยักหน้า จากนั้นก็ยกแก้วเหล้าที่อยู่ข้างๆ ขึ้นดื่มอย่างเต็มที่ หันไปมององค์ชายสามอย่างสนอกสนใจครั้งแล้วครั้งเล่า “ผู้ประสบภัยก่อนหน้านี้ ทุกวันนี้เพื่อที่จะทำมาหากินเลี้ยงชีวิตจึงจ้องไปล่อลวงพวกเด็กๆ เอาไปขาย หรือว่าเมื่อก่อนองค์ชายสามไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้”

“ข้าไม่อยากจะยุ่งอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเสด็จอากับน้องสี่ไม่อยู่ ข้าก็คงไม่ลงมาตรวจสอบ นี่ยังดีที่มีน้องหกคอยช่วยเหลือ” ซ่านเซิ่งหานผลักหัวข้อสนทนานี้กลับไปอย่างไม่มีตำหนิ

ซ่านจวนฮ่าวแค่ยิ้มออกมาไม่พูดอะไร แล้วคีบอาหารกินหลายคำตามอำเภอใจทั้งสั่งเสี่ยวเอ้อ(คำเรียกคนที่เป็นพนักงานบริการในสายโบราณจีน)ที่อยู่ข้างๆ ว่า “เตรียมอาหารที่รสชาติไม่เลวส่งไปให้หมอเอ่อร์ชิงให้ข้าที”

“คุณชายหมายถึงหมอที่ตรวจคนไข้อยู่ด้านหน้านี่ใช่ไหมขอรับ?” เสี่ยวเอ้อถูฝ่ามือไปมา แต่กลับไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่ดูโหดร้ายเท่าคนตรงหน้านี้เลย

ซ่านเซิ่งหานออกมาข้างนอกกับซ่านจวนฮ่าวไม่บ่อยนัก จึงมองนิสัยของซ่านจวนฮ่าวไม่ออกเท่าไหร่ เขาก็เงียบไปไม่พูดไม่จา

“ใช่” ซ่านจวนฮ่าวหยิบทองสองแท่งโยนให้เขา “ขอแค่นางอยู่ตรวจคนไข้ที่นี่ อาหารที่นี่ข้าขอเหมาเอง”  

เสี่ยวเอ้อเบิกตากว้างมองดูทองคำแท่งที่อยู่ในมือ ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นแพรวพราว พูดเสียงทุ้มนุ่มว่า “หมอหญิงท่านนี้งดงามมากขอรับ หากคุณชายสนใจ...”

เสี่ยวเอ้อยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกซ่านจวนฮ่าวโยนออกไปข้างนอก กำลังสับสนมึนงง หมัดของซ่านจวนฮ่าวก็ชกไปที่หน้าของเขาแล้ว “มีข้าอยู่ ใครก็ห้ามแตะต้องนาง เข้าใจไหม”

“นายท่าน นี่มัน...” เมื่อเจ้าของร้านได้ยินเสียงก็รีบเดินเข้ามา แขกที่อยู่ชั้นสองต่างก็วิ่งหนีกันหมด

ซ่านเซิ่งหานเองก็ตกใจกับการกระทำของซ่านจวนฮ่าว จึงเข้ามาแสดงป้ายประจำตัวของตน จึงทำให้คนทั้งหมดวิ่งคอตกลงไป ส่วนสายตาของซ่านจวนฮ่าวยังคงดุดัน เขายกชายเสื้อของเขานั่งลงอีกครั้ง อีกทั้งยังดื่มเหล้าลงท้องไปอีกเหยือกหนึ่ง

“คิดไม่ถึงว่าน้องหกจะใส่ใจพระชายาขนาดนี้”

“ทำไม? ท่านคิดจะลงมือกับนางหรือ?” เหยือกเหล้าในมือของซ่านจวนฮ่าวถูกบีบแน่นจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์