ตอน บทที่ 110 ไม่สนใจชีวิต จาก บุบผาร้อยเสน่ห์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 110 ไม่สนใจชีวิต คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ บุบผาร้อยเสน่ห์ ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 110 ไม่สนใจชีวิต
คนผู้นั้นที่ร้องออกมาอย่างตกใจก็ถูกกู้อ้าวเวยใช้ผ้าอุดปากเอาไว้
กู้อ้าวเวยคิดไม่ถึงว่ากว่างเสียนผู้นี้ยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเข้ามาหาเรื่องถึงที่ นางยังนั่งตรวจอาการให้คนไข้อยู่ ช่างยั่วโมโหนางจริงๆ
เมื่อปิดปากเขาไว้ไม่ให้พูด กู้อ้าวเวยก็เดินเข้าไปใกล้แล้วมองดูเหงื่อจำนวนมากที่เต็มใบหน้าของเขา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “สิ่งที่ข้าไม่ชอบที่สุดก็คือมีคนมาหาเรื่องข้าตอนข้ากำลังตรวจอาการคนไข้อยู่”
พอพูดจบ นางก็ทำสัญญาลักษณ์มือกับเฉิงอีเฉิงเอ้อ นางจำคำพูดที่กุ่ยเม่ยกล่าวว่า “ไม่เหมาะสม”มาเมื่อครู่นี้ได้ จึงหันกลับมานั่งลงบนโต๊ะเล็กๆ เมื่อเดินมาถึงข้างๆ ตัวของเขา นางก็เอาแขนทั้งสองข้างของเขาขึ้นมา
รอบๆ ตอนนี้แม้แต่เสียงเข็มเล่มหนึ่งตกพื้นก็ยังได้ยิน
กู้อ้าวเวยยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายตาของฝูงชน จากนั้นก็หัวเราะออกมาแล้วผลักคนที่ทั้งตัวสวมชุดราวกับพวกอันธพาลมาหาเรื่องคนนั้นออกไป จากนั้นก็หยิบยาออกมาจากกระเป๋าคาดเอวเม็ดหนึ่งแล้วกินลงไป จากนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “เมื่อครู่นี้เพราะการจู่โจมของพวกเจ้าดูเหมือนว่าพิษของข้ามันจะออกมาแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าช่วยทำธุระให้กว่างเสียน ก็ไปขอยาถอนพิษกับกว่างเสียนสิ”
นางหัวเราะเสียงดังอยู่หลายที ก็เดินออกมาจากข้างๆ ของพวกเขา แล้วกลับมาอยู่ข้างๆ กุ่ยเม่ยอีกครั้ง กอดอกแล้วพูดกับพวกเขาว่า “ตอนนี้อย่าเพิ่งมาขอร้องจะดีกว่า ข้ายังโกรธอยู่ ทางที่ดีพวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“พระชายา...พวกเราแค่...”
“กุ่ยเม่ย” กู้อ้าวเวยนั่งลงอีกครั้ง กุ่ยเม่ยที่อยู่ด้านหลังก็มายืนนิ่งอยู่ด้านหน้าของนาง ท่าทางของนางทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกตกใจ มีหลายคนที่ไม่กล้าอยู่ต่อ วิ่งหายไปในชั่วพริบตา
เฉิงอีเฉิงเอ้อมองหน้ากันทีหนึ่ง เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ลงมือทำร้ายใคร เมื่อเห็นกู้อ้าวเวยจ้องพวกเขาตาเขม็ง ก็พาคนที่อยู่บนโต๊ะจากไป
คนที่อยู่รอบๆ ก็พากันแยกย้ายไปคนละทิศละทาง กู้อ้าวเวยเพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ มีเพียงตอนที่เห้อจิ้นหล่างเดินเข้ามาแล้วยิ้มอย่างจนปัญญา “ข้าพลาดอีกแล้ว”
“ต้องโทษข้าที่ให้เจ้ามา” เห้อจิ้นหล่างกุมขมับอย่างจนปัญญา “เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าที่ปกติแม้แต่แรงจะมัดไก่ก็ยังไม่มี จะมีวิธีการเช่นนี้ได้”
“ทำให้ท่านต้องยุ่งยากอีกแล้ว ต่อไปข้าจะให้แค่ใบสั่งยาก็แล้วกัน” กู้อ้าวเวยลุกขึ้นมาด้วยความหดหู่
นางยังจะต้องกลับไปม้วนหนังสือที่เหมือนกันให้มาอยู่ด้วยกันในห้องสี่เหลี่ยมของจวนอีก
แต่ไม่มีใครดูออกว่านางว่านางกำลังเสียใจ เพียงแต่มองส่งนางที่เป็นคนพากุ่ยเม่ยกลับจวนไป เห้อจิ้นหล่างเองก็อดไม่ได้จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “น่าเสียดายคนที่มีความสามารถมากมายเช่นนี้”
“นายท่านเห้อ ท่านหมอเอ่อร์ชิงเป็นพระชายาจิ้งจริงๆ ด้วยขอรับ...”
“แล้วยังไงล่ะ!” เห้อจิ้นหล่างจ้องไปที่เขา จากนั้นก็ผลักเขากลับเข้าไป ทำงานในร้านจี้ซื่อถางต่อ
เมื่อกลับมาถึงตำหนักอ๋อง ชิงต้ายที่เห็นได้เห็นนางทั้งตัวมีแต่น้ำหมึกก็วิ่งเข้ามาด้วยอาการตกใจ แล้วมองพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้ากลัวว่านางจะถูกใครรังแกเข้า กู้อ้าวเวยทำได้แค่ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไร ก็นึกถึงกู้เหยียนจือที่ออกไปตามพ่อค้ามนุษย์ จึงถึงขึ้นมาว่า “เหยียนจือยังไม่กลับมารึ?”
“กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าจะตามไม่ทัน คุณหนูจี้เหยากำลังดูแลเข้าอยู่เจ้าค่ะ” ชิงต้ายรีบถอดเสื้อคลุมด้านนอกของนางออก
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” อย่างไรก็ตามข้างกายของกู้จี้เหยาก็มีคนที่เฉลียวฉลาดอยู่ด้วย ก็น่าจะไม่ได้ทำอะไรกู้เหยียนจือ
หลังจากแช่น้ำร้อนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย แต่น่าเสียดายที่นางหยิบม้วนหนังสือข้างมือขึ้นมาไม่ทัน หน้าต่างก็ถูกเปิดออก มีคนสวมชุดดำลักษณะเหมือนกับซ่านจวนฮ่าวโยนชุดดำให้นาง ยิ้มอย่างสบายใจแล้วพูดว่า “ข้าหาที่อยู่ของพวกพ่อค้ามนุษย์พวกนั้นเจอแล้ว เวยเอ๋อร์อยากไปดูกับข้าหรือไม่”
ไม่นาน พวกเขาก็ลงมาที่พื้นได้อย่างมั่นคง แล้วในเวลาเดียวกัน เสียงม้าห้อตะบึงก็ดังมาทางด้านหลัง ซ่านจวนฮ่าวทำเสียงจุ๊ปาก อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “เป็นสุนัขจมูกไวจริงๆ ด้วย”
จากนั้นก็หันกลับไป คนที่ตามมาก็คือกุ่ยเม่ยที่สวมชุดดำเหมือนกัน เขาเดินตรงไปข้างๆ กู้อ้าวเวยอย่างไร้เสียง ตั้งใจแยกกู้อ้าวเวยกับซ่านจวนฮ่าวออกจากกัน “ท่านอ๋องไม่อนุญาตให้พระชายาจิ้งออกมาจากเทียนเหยียน”
“เวยเอ๋อร์ไม่ใช่สุนัขทรงเลี้ยงของเสด็จอา ในเมื่อเสด็จอาไม่ชอบเวยเอ๋อร์ แล้วเหตุใดยังให้นางอยู่ต่ออีกเล่า” ซ่านจวนฮ่าวมองไปที่กุ่ยเม่ยด้วยสายตาเย็นชา แต่กุ่ยเม่ยก็มองกลับมาอย่างเย็นชาเช่นกัน
ทั้งสองคนกำลังคุมเชิงซึ่งกันและกัน กู้อ้าวเวยที่อยู่ด้านหลังกุ่ยเม่ยก็จากไปนานแล้ว เพราะนางได้กลิ่นหมีกุ่ยเซียง (กลิ่นหอมที่ทำให้คนหลงใหล) ผ่านไปได้ครู่หนึ่งซ่านจวนฮ่าวกับกุ่ยเม่ยถึงรู้สึกตัวขึ้นมาว่ากู้อ้าวเวยเดินไปด้านหน้าแล้ว จึงรีบเดินตามไป
กู้อ้าวเวยก็ซ่อนตัวอยู่ในมุมมุมหนึ่ง หยิบยาใส่ปากเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็หยิบยาอีกสองเม็ดโยนให้กับสองคนนั้น แล้วมองตรงไปยังแสงไฟที่เดินผ่านไปตรงหน้า
“ระวัง” ซ่านจวนฮ่าวยังคิดจะดึงนางเอาไว้
กู้อ้าวเวยกลับสะบัดมือของเขาออก แล้ววิ่งเบาๆ ตรงไปด้านหน้าทันที
ด้านหลังที่ตั้งตระหง่านของคนที่มีคบเพลิงผู้นั้น เวลานี้กำลังยืนอยู่กับคนอีกไม่น้อย กู้อ้าวเวยก็มองเห็นซ่านจินจื๋อกำลังขี่ม้าห้อตะมึงมาพอดี อีกทั้งคนที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ ก็เหมือนจะเป็นซ่านเชียนหยวน
มีหลายคนค่อยๆ มองตามกันมา มีเพียงกู้อ้าวเวยที่สีหน้าเริ่มขาวซีด นางวิ่งตรงเข้าไปในถ้ำ เด็กๆ ที่อยู่ด้านกำลังถูกกลิ่นหมีกุ่ยเซียงทำให้เบลอไม่มีสติ นางจึงทำได้เพียงหยิบยาในมือมาบดให้เป็นผงด้วยอาการสั่นเทา จากนั้นก็ให้พวกเขากินลงไป
คิดไม่ถึงว่าซ่านจินจื๋อจะเอากลิ่นหมีกุ่ยเซียงที่นางเตรียมเอาไว้ให้มาจัดการกับพวกพ่อค้ามนุษย์
นี่เขาคิดจะฆ่าเด็กเหล่านี้ด้วยงั้นหรือ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์
นางเอกเหมือนจะเก่งแต่ก็ยอมให้ผัวทำร้ายร่างกายตลอด...
บางคำแปลแบบ งงๆ อ่านแล้วเหนื่อยเรื่องนี้ พักก่อน...
สรุปแล้วใครคือพระเอก อ๋องจิ้งไม่เหมาะเลย ขอเป็นคนอื่นแทนได้ไหม...