บทที่ 223 ไม่ไหวตัวอีกต่อไป
“ร้านพักในถนนทางใต้แต่เดิมก็เป็นเปลี่ยนมือมา ในนามแฝงก็ยังคงเป็นกองกำลังขององค์ชายสามอยู่ เพียงแต่ข้าคิดว่าพระชายาน่าจะไม่รู้เรื่องนี้ ก็แม้แต่เฉิงเสี้ยงยังไม่รู้เรื่องนี้” เฉิงซานอธิบายเสียงนุ่มหูบนรถม้า ทั้งยังคิดเรื่องของฉีหรัวที่กู้จี้เหยาพูดถึงเมื่อครู่ และทำเพียงเอ่ยต่อไป “คุณหนูฉางเป็นแขกประจำของสำนักเยียนหยู่เก๋อ ตลอดฤดูหนาวนี้คุณหนูรองตระกูลฉีมักจะส่งของไปให้วังองค์ชายสามและจวนของขุนนางราชสำนักด้วยตนเองเสมอ ดูท่าน่าจะเป็นคำสั่งของนายท่านฉีหมิง”
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล
แต่ตราบใดที่คนที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าคือกู้อ้าวเวย ซ่านจินจื๋อจำต้องระวังตัวอย่างเสียมิได้
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโบก ซ่านจินจื๋อผลักเปิดประตูใหญ่ของร้านยาเหย้าออก หลังจากที่ชิงต้ายทำความเคารพต่อเขาแล้วยังไม่ทันได้เอ่ยวาจา เฉิงซานก็ลากชิงต้ายมาด้านข้างเป็นที่เรียบร้อย ปล่อยให้ซ่านจินจื๋อผลักประตูบานใหญ่ของเรือนหลักออก
แต่ว่าท่ามกลางห้องโถงกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน มีเพียงกลิ่นหมึกเข้มข้นที่เหลืออยู่บนผิวโต๊ะ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยคลุ้งออกมาจากกระถางธูป ซ่านจินจื๋อปั้นหน้าขรึมอ้อมผ่านฉากกั้นลม สิ่งที่เขาเห็นคือหนีไม่พ้นกู้อ้าวเวยที่นอนหลับสู่ห้วงนิทราลึกแผ่บนเตียง
กู้อ้าวเวยทำเพียงสวมเสื้อตัวในเพียงตัวเดียว ผ้านวมผืนหนาก็ร่นลงมาที่ช่วงเอวของนาง เพราะการพลิกตัวของนาง ช่วงเอวของนางแทบจะเผยออกมา ฝ่ามือยังคงกำถุงหอมเล็กๆ ของสำนักเยียนหยู่เก๋ออันหนึ่งเอาไว้ ในความฝันนางยังคงขมวดคิ้วมุ่น
ซ่านจินจื๋ออยากจะตรงไปปลุกให้นางตื่น สายตากลับหยุดอยู่บนโต๊ะข้างๆ
ซีจือ
ป๋ายมี่
ตัวอักษรเบียดเสียดกันแน่นนั้นถูกวางไว้ทุกที่บนกระดาษอย่างเรียบร้อย
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วขึ้นมาทันที หยิบกระดาษเหล่านั้นขึ้นมา และปราดมองคนที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง ความสงสัยและความระแวะระวังในใจมลายหายไป เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา และหย่อนกายนั่งลงที่แท่นนอนของกู้อ้าวเวย
“หลังจากผ่านสิ่งเหล่านั้นมา เจ้ายังไปติดต่อกับองค์ชายที่บังเอิญพบกันหลายครั้งคนหนึ่งได้จริงๆ เชียวหรือ”
ซ่านจินจื๋อเอ่ยเสียงกระซิบ ดึงผ้านวมขึ้นมาข้างบนให้นางเล็กน้อย แลกกับเสียงอู้อี้เบาๆ ของคนที่อยู่บนเตียง ทั้งยังพลิกตัวอย่างเงียบๆ หันหลังให้กับซ่านจินจื๋อ
นางยังคงกังวลไม่สงบใจเพราะเรื่องของลูก ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะหนังสือของวิหารเฟิ่งหมิง หรือไม่ก็โต๊ะหนังสือของร้านยาเหย้า ก็ไม่เคยขาดสองชื่อนี้เลย กู้อ้าวเวยถึงขั้นซื้อจี้อายุยืนมาเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ เพียงแต่ตอนนี้ จี้อายุยืนอันนั้นถูกฝังอยู่ใต้ต้นไม่เหี่ยวของวิหารเฟิ่งหมิงไปแล้ว
รออยู่สักพัก ซ่านจินจื๋อก็จากไปโดยไม่มีอารมณ์โกรธเลยสักนิด
ชิงต้ายมองเงาหลังของคนทั้งสองที่จากไป สายตาหม่นแวว และผลักบานประตูออกเบาๆ มองคนที่อยู่บนเตียงซึ่งตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างสว่างไสวอย่างเป็นไปตามคาด ยืนหลังตรงอยู่ข้างเตียงนอน
ใบหน้าของกู้อ้าวเวยแฝงด้วยรอยยิ้มบางๆ เปลือยเท้าเปล่าเดินไปยังหน้าโต๊ะ มองแผ่นกระดาษที่ถูกเคลื่อนย้าย และทำเพียงทัดเส้นผมสีดำที่ข้างหู พลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่มีใครสงสัยผู้หญิงคนหนึ่งที่สูญเสียลูกไป ซ่านจินจื๋อเองก็เหมือนกัน”
“คุณหนูรองไปรายงานสถานการณ์แล้วจริงๆ ด้วย แต่ถ้าหากท่านอ๋องยังคงไม่วางใจท่าน...”
“ดังนั้นฉีหรัวและฉีหลินต่างก็สำคัญมากๆ” สายตาของกู้อ้าวเวยแปรเป็นเฉียบคมขึ้นมา พับและจัดเรียงกระดาษที่เขียนชื่อแล้วเหล่านั้นอย่างระแวดระวัง ก่อนกล่าวต่อไป “ขอเพียงข้าไม่อยู่ในตำหนักอ๋อง อยากจะทำอะไรก็เป็นอิสระของข้า ขอเพียงข้ายังเป็นมารดาที่โกรธเคืองเพื่อลูก ไม่ทำเรื่องเกินกว่าเหตุไป ซ่านจินจื๋อก็คงไม่อาจสงสัยข้าได้ตลอดไป”
“ท่านเชื่ออย่างนี้หรือ” ชิงต้ายยังคงเป็นกังวลในข้อนี้อยู่
“เขาจะต้องชดใช้ให้กับลูกที่ยังไม่ถือกำเนิดคนนั้นไปตลอดชีวิต” กู้อ้าวเวยเอากระดาษทั้งหมดวางใส่ในลิ้นชัก และหยิบงอบสีเข้มออกมา สวมผ้าคลุมหน้าสีดำอีกครั้ง ใช้แป้งฝุ่นแต้มชาดเหล่านั้นค่อยๆ เปลี่ยนมุมคิ้วหางตาของตน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์
นางเอกเหมือนจะเก่งแต่ก็ยอมให้ผัวทำร้ายร่างกายตลอด...
บางคำแปลแบบ งงๆ อ่านแล้วเหนื่อยเรื่องนี้ พักก่อน...
สรุปแล้วใครคือพระเอก อ๋องจิ้งไม่เหมาะเลย ขอเป็นคนอื่นแทนได้ไหม...