บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 224

บทที่ 224 โปะยาสลบ

ขุนนางราชสำนักเกือบทั้งหมด รวมถึงนักธุรกิจบางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าหลวงก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

ส่วนของที่ซ่านเซิ่งหานให้คนไปจดบันทึกเพิ่มขึ้นรวมถึงข้าราชสำนักที่คืนสู่เหย้า รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเรือนของพวกเขา มันเกินความจำเป็นเยี่ยงนี้แต่ก็ครอบคลุมมากพอที่จะเห็นถึงความทะเยอทะยานของซ่านเซิ่งหานบุคคลผู้นี้ได้

พระอาทิตย์อยู่กลางนภาพอดี กู้อ้าวเวยกลับไม่ได้เตรียมตัวจากไป

หลังจากซ่านเซิ่งหานออกจากท้องพระโรง ยังคงเห็นเงาร่างของกู้อ้าวเวยอยู่ เพียงแต่บนไหล่ของนางมีเสื้อเพิ่มมาหนึ่งตัว น่าจะเป็นของที่สาวใช้ในจวนนำมาให้นาง นางอ่านเล่มที่สามจบเรียบร้อยแล้ว คล้ายกับกำลังจมดิ่งในความทรงจำเพื่อเลี่ยงไม่ให้ตนจำผิดพลาด

“สำรับอาหารกลางวันเล่า?” ซ่านเซิ่งหานเอ่ยถามคนรับใช้ข้างกายเสียงเบา

“แม่นางท่านนี้ไม่ได้เอ่ยถึงมัน ทั้งสถานที่ตรงนี้ยังเป็นห้องบรรทมของท่าน...” คนรับใช้ข้างกายไม่รู้ที่มาของกู้อ้าวเวย ทำได้เพียงอธิบายอย่างจนปัญญา

“ให้คนไปเอาสำรับกลางวันเข้ามาในห้อง และเจ้าก็ให้คนที่ข้าไว้ใจมาดูแลด้วย วันนี้ ข้าไม่พบใครทั้งนั้น” หลังจากซ่านเซิ่งหานบัญชาเสร็จ คราวนี้จึงผลักประตูเปิดออก ยังมีขนมอบที่ซื้อติดมือมาด้วย ก่อนจะวางไว้ต่อหน้าของกู้อ้าวเวย

กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมาเต็มแรง ตอนที่มองเห็นซ่านเซิ่งหานจึงทอดถอนใจหนึ่งเฮือก “คิดไม่ถึงว่าท่านจะบันทึกไว้อย่างละเอียดยิบเยี่ยงนี้ ข้าเกรงว่าจะต้องอ่านติดต่อกันจนถึงช่วงสอบฤดูใบไม้ผลิกว่าจะจดจำแต่ละตัวได้”

“ถ้าหากง่วงแล้ว ก็ไปหลับสักตื่นถิด” ซ่านเซิ่งหานเปิดถุงกระดาษน้ำมันออก และเอาขนมอบด้านในยัดใส่ในมือของนาง “เจ้าไม่ต้องพักผ่อนหรือ”

“ชินแล้ว” กู้อ้าวเวยพูดไปตามอำเภอใจ และหยิบสองเล่มในนั้นขึ้นมา “ตอนนี้ข้าจะต้องออกไปแล้ว พักผ่อนสักสองชั่วยาม จากนั้นจึงจะกลับจวนไปทานสำรับเย็น และไปสู้รบกับน้องสาวผู้อยู่ยงคงกระพันคนนั้นของข้า รอจนถึงช่วงยามสอง(ยามสอง การบอกเวลาสมัยโบราณ หมายถึงช่วง 21:00-23:00 นาฬิกา) ข้าค่อยมาใหม่”

ซ่านเซิ่งหานพยักหน้าเล็กน้อย กำชับคนให้เฝ้านอกประตูรอคอย ทั้งยังพานางออกจากลานด้านหลังด้วยตนเอง ก่อนบัญชาให้องครักษ์คุ้มกันนางกลับไปร้านยาเหย้าอย่างไร้อันตราย

หลังจากกู้อ้าวเวยพักผ่อนสองชั่วยามแล้ว ก็มาที่จวนจริงๆ ด้วย

สามคนในห้องโถงมองไปที่นางพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สาวใช้ที่อยู่ข้างกายรีบเอาชามตะเกียบมาเพิ่มให้นางหนึ่งชุด นางหย่อนกายลงนั่งอย่างเมื่อยล้า ใต้ตายังมีรอยดำคล้ำอยู่มากทีเดียว “ชิงต้ายบอกว่าเมื่อวานท่านอ๋องมาร้านยาเหย้า มีธุระอันใดหรือไม่”

“ไม่มีอะไร” ซ่านจินจื๋อมองท่าทางเมื่อยล้าขนาดนี้ของนาง “เหตุใดวันนี้ถึงเพิ่งจะมาถามข้า”

กู้อ้าวเวยหลุบตาก้มหน้าต่ำ คล้ายกับมีบางอย่างที่ยากจะเอ่ยออกปาก

“ไฉนจึงไม่กล้าพูด หรือว่าท่านทำเรื่องที่มิอาจบอกคนอื่นได้ลับหลังท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ” ซูพ่านเอ๋อแค่นเสียงเย็นชา โดยไม่ปกปิดความรังเกียจที่ตนมีต่อนางเลยสักนิด

“ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณท่านนะ” กู้อ้าวเวยหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มแรง มองนางด้วยลมหายใจไม่คงที่ กระทั่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซูพ่านเอ๋อ ปรายตามองนางจากที่สูง “ข้าฝันถึงเขา เขาอยากให้ท่านชดใช้ชีวิตให้เขา”

ซูพ่านเอ๋อสีหน้าซีดขาว จิ่นซิ่วที่อยู่ด้านหลังยิ่งตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“ใครก็ได้ ส่งพระชายากลับร้านยาเหย้าที ให้นางพักฟื้นร่างกายให้ดี” ซ่านจินจื๋อปริปากเอ่ยก่อนหนึ่งก้าว และโอบซูพ่านเอ๋อเข้าสู่อ้อมอกอย่างระวัง หันหน้าไปทางกู้อ้าวเวย “ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว”

กู้อ้าวเวยยืนอยู่ที่เดิม จับจ้องวงแขนที่โอบกอดซูพ่านเอ๋อของซ่านจินจื๋ออย่างเอาเป็นเอาตาย เส้นเอ็นสีเขียวบนขมับปูดขึ้นเล็กน้อย ทั้งร่างหดเกร็งจนสั่นระริก ทำเพียงแค่นเสียงหายใจลึกๆ เอ่ยหนึ่งประโยคออกมาจากลำคอเท่านั้น

“ข้าแค่หวังว่าวันหน้าท่านอ๋องจะไม่รบกวนข้าอีก ข้าแค่อยากเป็นหมออย่างเงียบๆ”

นางสะบัดแขนเสื้อจากไป กู้อ้าวเวยสาวเท้าออกจากตำหนักอ๋องที่ทำให้ผู้คนหวาดผวาแห่งนี้อย่างรวดเร็ว

กลับมาสู่ร้านยาเหย้าอีกครั้ง นางเปลี่ยนอาภรณ์เมื่อคืนวานอีกครั้ง รอจนคล้อยดึกอย่างสมบูรณ์ ชิงต้ายก็มาอยู่เคียงข้างนาง “คุณหนู ท่านแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งต่อท่านอ๋อง หวังว่าท่านอ๋องจะไม่จับจ้องท่านไม่วางตานะเจ้าคะ”

“เขาไม่อาจสนใจคนบ้าที่สูญเสียลูกไปหรอก”

กู้อ้าวเวยรวบผมของตนขึ้นอย่างรู้งาน มองชิงต้ายแวบหนึ่งด้วยความกังวลใจ “ความรู้สึกที่เล่นกับหัวใจคนอื่นมันช่างอึดอัดจริงๆ”

“แต่ท่านก็จำเป็นต้องทำ หวังว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างมันจะคุ้มค่านะเจ้าคะ” ชิงต้ายนำซุปร้อนที่นางชื่นชอบที่สุดมาวางไว้ต่อหน้านาง

กู้อ้าวเวยสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก และจ้องมองร้านยาเหย้าอันว่างเปล่าด้วยอาการแน่นิ่ง

บางคนเกิดมาเพื่อชำนาญในการเล่นสนุกกับหัวใจคน พระเจ้ากลับไม่เคยสนใจพวกเขาว่าต้องการเป็นเยี่ยงนี้หรือไม่

นางรู้สึกว่าตนโชคดีและสงบนิ่งเยี่ยงนี้โดยไม่มีเหตุผล ขอเพียงเห็นทุกสิ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับซ่านจินจื๋อเป็นเพียงการผ่าตัดที่จำเป็นต้องแก้ไข ปัญหาทั้งหมดก็จะคลี่คลายลงอย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมทางสภาพอารมณ์ใดๆ ทั้งนั้น

นางกระตุกมุมปากอย่างจนปัญญา ทำเพียงจากไปอย่างรีบเร่ง มาเยือนวังของซ่านเซิ่งหานอีกครั้ง

หลายวันติดต่อกันมานี้ กู้อ้าวเวยต่างก็รอคอยอยู่ท่ามกลางห้องบรรทมของซ่านเซิ่งหาน

เวลาส่วนใหญ่ของนางล้วนใช้ไปกับโต๊ะตั่ง หากว่าเหนื่อยแล้วก็เอนกายพักผ่อนบนเตียงนอนนุ่ม อาหารสามมื้อในหนึ่งวันก็จะมีคนประเคนเข้ามาให้ตามรสปากของเขา ซ่านเซิ่งหานก็ทำเพื่อความปลอดภัยและการหลบซ่อนของนาง จำต้องเอาเอกสารราชการทั้งหมดมาวางไว้ในห้องของตนอย่างเสียมิได้

วันแห่งการสอบฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไป กู้อ้าวเวยกลับไม่ได้ตระหนักถึงมันเลย

หลังจากซ่านเซิ่งหานออกมาจากการสอบฤดูใบไม้ผลิ ตอนที่ผลักบานประตูออกนั้น กู้อ้าวเวยกำลังบ่นงึมงำกับสิ่งที่ตนท่องจำอย่างละเอียด ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตนหมกตัวอยู่ที่นี่มาเกือบสิบวันแล้ว

“การสอบฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลงแล้ว” เป็นครั้งแรกที่ซ่านเซิ่งหานดึงม้วนหนังสือออกจากมือของนาง ปลายนิ้วเชยคางของนางเอาไว้ พลางมองดูรอยดำคล้ำใต้ตาของนางที่ใช้แป้งฝุ่นแต้มชาดก็ยังปกปิดไม่มิด “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเทพเซียนจริงๆ หรอกหรือ”

กู้อ้าวเวยงงงวยอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบสนอง ปล่อยให้เขาเคลื่อนไหวอย่างเกียจคร้าน และกระพริบตาปริบๆ “การสอบฤดูใบไม้ผลิเริ่มตั้งแต่เมื่อไร”

ซ่านเซิ่งหานถูกนางล้อเล่นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า จึงยกมุมปากขึ้น “วันนี้สิ้นสุดลงแล้ว”

“ท่านเคยอ่านบทความของเมิ่งซู่หรือไม่” กู้อ้าวเวยมีปฏิกิริยาตอบสนองมาบ้างแล้ว และปัดมือของเขาลงไป “ข้าเคยได้รับเกียรติอ่านในห้องหนังสือของเขา เขาสามารถนำแคว้นชางหลานที่แตกต่างมาสู่ท่านได้”

“มันแสดงทรรศนะที่แตกต่างจริงๆ แต่ไม่ง่ายเลยที่คนจะทำความเข้าใจได้”

ซ่านเซิ่งหานปฏิบัติตามคำพูดของนาง กู้อ้าวเวยเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเคยเจอมาทีละอย่าง ความจำของนางน่าทึ่งมาก และชอบที่จะทำความเข้าใจความหมายลึกซึ้งพวกนั้นด้วยเช่นกัน

การนั่งพูดคุยด้วยกันกับนาง มักจะเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีเสมอ

ตอนที่กู้อ้าวเวยเอ่ยวาจานั้น ในสายตาราวกับมีดวงดารากลางรัตติกาล นางมักจะเคยชินกับการกินอาหารจนเกลี้ยงเหมือนพายุหอบเอาเศษปุยเมฆหายไป แต่ก็ลิ้มรสขนมอบแสนอร่อยเหล่านั้นทีละชิ้นอย่างมีความอดทน

แต่ซ่านเซิ่งหานก็ตระหนักได้เช่นกันว่านางมักจะมีปัญหาด้านการนอนหลับเสมอ

“เจ้านอนไม่หลับ” ซ่านเซิ่งหานจับหน้าผากที่เกือบจะโขกลงผิวโต๊ะเพราะความง่วงของนางเอาไว้ “ข้าส่งเจ้าไปบนเตียงนอน และหลับให้สนิทสักงีบ”

คนที่ถูกความง่วงรายล้อมรีบเบิกตากว้างเต็มแรง ด้านในนั้นเปี่ยมไปด้วยเส้นเลือดสีแดง

ปลายนิ้วของนางสั่นระริกเสียจนปัดถ้วยชาข้างมือตกแตก รีบถอยห่างจากซ่านเซิ่งหานอย่างตื่นตระหนก “ไม่ต้องแล้ว ข้าก็แค่นอนไม่หลับเท่านั้นเอง ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายต้องทำ หนังสือพวกนี้ข้าก็แค่ต้องอ่าน...”

“เจ้าควรจะนอนหลับสักตื่น” ซ่านเซิ่งหานเอาผ้าที่โปะยาสลบวางไว้ที่ปลายจมูกของนาง

ก่อนนอนหลับ กู้อ้าวเวยทันแค่รู้สึกตกใจเท่านั้น

เหตุใดนางจึงไม่ได้กลิ่นของยาสลบเลย?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์