บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 235

บทที่ 235 ข้อเสนอของเมี่ยวหาร

“เวยเอ๋อ วันนี้เจ้าได้ช่วยชีวิตข้าไว้ ยังมีของตอบแทนอะไรที่เจ้าต้องการอีกรึไม่”

สมบัติล้ำค่าหายากของไทเฮานั้นมีอยู่ไม่น้อย หากสิ่งที่ซ่านเซิ่งหานพูดในตอนนั้นเป็นเรื่องจริงละก็ ไทเฮานั้นเคยทำการติดต่อกับท่านปู่หยุนชิงหยางของตน ในเวลานั้นที่หยุนชิงหยางเพิ่งมาถึงเทียนเหยียน เขาได้ถวายยาสมุนไพรล้ำค่ามาให้ไทเฮาไม่น้อย

เพียงแต่ว่าตอนนี้ นางไม่อาจมัวแต่ทุ่มเทไปกับเรื่องการแพทย์นัก

“ข้าไม่คิดอยากได้รางวัลตอบแทนอะไร ข้าชอบช่วยเหลือรักษาผู้คน ในวันนี้สำหรับข้าแล้วนั้น ไทเฮาก็เป็นคนที่ต้องการได้รับการรักษาคนหนึ่ง ไทเฮาไม่ต้องกังวลใจไปเลยเพคะ”

กู้อ้าวเวยย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบางๆบนหน้าของนาง

หากนางเกิดขออะไรจากไทเฮาขึ้นมาจริงๆ ซ่านจินจื๋อจะต้องตำหนินางอีกเป็นแน่

กู้อ้าวเวยออกจากวังหลวงไปขึ้นรถม้า นางนั่งลงแล้วพิงกับผนังรถหลับสนิทไป มือนางเย็นเฉียบ

ไม่ว่ากู้จี้เหยาจะเรียกนางเท่าไหร่ ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดใดจากนาง หากไม่เห็นว่าร่างกายบริเวณหน้าอกของนางยังมีการขยับขึ้นลง ซ่านจินจื๋อคงจะให้รถม้ามุ่งหน้าไปยังจี้ซื่อถาง(ร้านขายยา)

เมื่อกลับมาถึงตำหนักอ๋อง ซ่านจินจื๋อไม่จัดแจงให้คนส่งกู้อ้าวเวยกลับไปที่ร้านยาเหย้า

แต่กลับสั่งให้คนพานางกลับไปยังวิหารเฟิ่งหมิงและดูแลนางให้ดี เมื่อได้สอบถาม จึงรู้ว่าชิงต้ายยังอยู่ที่จวนของหู้ปู้เซ่อหลาง(ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงิน)เพื่อสืบหาตัวคนร้าย

และที่ตำหนักหลัก

ซูพ่านเอ๋อทำถ้วยน้ำแกงตกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นัยน์ตาที่มีเส้นสีแดงเกิดขึ้นไม่น้อยของนางเบิกกว้างไปด้วยความโกรธ

“ทุกวันนี้แค่คำนินทาครหา กู้อ้าวเวยก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว แล้วเหตุใดนางจึงมีโอกาสเฉิดฉายต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ภาพวาดอวยพรอะไร! หมอวิเศษอะไร! นั่นมันก็แค่ลูกไม้ตื้นๆของนาง!”

ซูพ่านเอ๋อกวาดทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าลงไปกองกับพื้น มือนางรวบกันแน่นเป็นกำปั้น

ซ่านจินจื๋อที่กลับมาถึงจวนแล้ว แต่ก็ยังคงยืนกรานที่จะไปที่วิหารชิงเฟิงของกู้จี้เหยา ไม่แม้แต่จะมาที่ตำหนักหลักของซูพ่านเอ๋อ!

พี่น้องตระกูลกู้นี่เป็นหนามยอกอกของนางจริงๆ

“แล้วเจ้ากู้จี้เหยานั่น ในเวลานี้ยังคิดใช้ลูกในท้องมาเป็นเครื่องมือ ลืมไปแล้วรึยังไง ว่าใครเป็นคนทำให้นางได้มาเสนอหน้าอยู่ในตำหนักอ๋อง!” ซูพ่านเอ๋อนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำไปในอดีต

ในสายตาของซูพ่านเอ๋อในเวลานั้นมีแต่กู้อ้าวเวย กู้อ้าวเวยได้รับความสนใจอยู่เสมอ ใครๆต่างก็รักและเอ็นดูนาง นางเป็นดั่งศัตรูตัวฉกาจของซูพ่านเอ๋อ ไม่เคยคิดเลยว่ากู้จี้เหยาที่ซื่อบื้อนี้สุดท้ายแล้วจะอุ้มท้องลูกของซ่านจินจื๋อ

“กู้จี้เหยา แม้แต่กับพี่สาวแท้ๆของนางนางยังทรยศได้ นับประสาอะไรกับท่าน” จิ่นซิ่วคุกเข่าอยู่ในมุมหนึ่งด้วยสีหน้าที่หมองมัว

“นั่นสิ เจ้ากู้จี้เหยาช่างต่ำช้านัก ข้าจะปล่อยให้นางคลอดเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพี่จื๋อออกมาได้ยังไงกัน!”

เล็บมือของซูพ่านเอ๋อรวบกันเข้ามาอยู่กลางฝ่ามือ ร่างกายของนางอ่อนแอมาก หากจะคิดร้ายต่อลูกของซ่านจินจื๋อนั้นเป็นเรื่องยากมากทีเดียว แต่กู้จี้เหยานั่นมีสิทธิ์อะไร!

จิ่นซิ่วได้รับคำสั่งให้ไปเรียกตัวเมี่ยวหารมา พอได้ยินว่าจะต้องทำการวางยาอีก เมี่ยวหารตัวสั่นหน้าซีดเผือด

“พ่านเอ๋อ เจ้าเคยกำจัดลูกในไส้ของกู้อ้าวเวยไปแล้วครั้งหนึ่ง เหตุใดคราวนี้ยัง……”

“ท่านพี่จื๋อต้องเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น!” ซูพ่านเอ๋อหมุนตัวไปในทันใดแล้วเข้ามาใกล้เมี่ยวหารด้วยท่าทางที่น่ากลัว กำชายคอเสื้อของเมี่ยวหารไว้แน่น ขบริมฝีปากล่างไว้อย่างคับแค้น: “ข้าติดต่อจูเย่นไม่ได้ นี่ท่านก็จะมาทิ้งข้าอีกคนรึ”

เมี่ยวหารมองดูซูพ่านเอ๋อที่กำลังขอร้องเช่นนี้ก็เกิดใจอ่อน

“ข้าก็อยากช่วยเจ้า เพียงแต่ว่าหากใช้วิธีวางยามันจะโจ่งแจ้งเกินไป ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมา เกรงว่าท่านอ๋องจะยิ่งถอยไกลห่างจากเจ้า” เมี่ยวหารน้ำเสียงเบาพูดปลอบโยนโน้มน้าวซูพ่านเอ๋ออย่างระมัดระวัง

“เช่นนั้น……”

“เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าค่อยขอท่านอ๋องให้นำเด็กคนนั้นมาเป็นลูกบุญธรรมของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าไม่เพียงแต่จะได้มีลูก ส่วนกู้จี้เหยาที่ได้รับความพิศวาสจากท่านอ๋องเพราะมีเด็กในท้องมาเป็นข้ออ้างก็จะหมดความหมาย พูดได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว”

เมี่ยวหารหน้านิ่งแล้วรีบหันไปมองแววตาของจิ่นซิ่วที่อยู่ข้างๆ

สุดท้ายแล้วเมี่ยวหารก็เป็นหมอคนหนึ่ง การที่เขาช่วยซูพ่านเอ๋อฆ่าเด็กในท้องของกู้อ้าวเวยก็นับว่าไร้ศีลธรรมจรรยาแล้ว มาถึงตอนนี้เขาไม่อาจจะทำผิดซ้ำซ้อนอีก

จิ่นซิ่วที่ตัวสั่นไปทั้งตัวเดินเข้ามาแล้วรีบพูดขึ้นว่า “หมอเมี่ยวหารพูดมีเหตุผล ขอเพียงแค่ท่านเอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ท่านอ๋องก็รับปากท่านอย่างแน่นอน”

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เพียงแค่พูดถึงซ่านจินจื๋อขึ้นมา ซูพ่านเอ๋อก็จะเชื่อฟังเชื่องดั่งแมวเหมียว

ซูพ่านเอ๋อถอยออกจากอ้อมแขนของเมี่ยวหาร นางหายใจเข้าลึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงสงบลง

“งั้นก็เอาตามนี้” ซูพ่านเอ๋อนั่งลงอย่างหัวเสีย และมองไปที่เมี่ยวหารด้วยสายตาที่ไม่มีความเอื้ออาทร

เมี่ยวหารรู้สึกเจ็บที่ใจ แล้วเดินจากไปพร้อมกับจิ่นซิ่ว

ที่ตำหนักของซูพ่านเอ๋อในตอนนี้เป็นเวลาที่ดอกไม้นานาพรรณกำลังแย่งกันออกดอก แดงม่วงละลานตา ช่างบาดตาเมี่ยวหารเหลือเกิน

“หมอเมี่ยวหาร ในเมื่อท่านรักนายหญิง แล้วเหตุใดกันเล่า ท่านจึงยอมปล่อยนางให้ไปอยู่กับท่านอ๋อง” จิ่นซิ่วทนไม่ได้ที่จะถามขึ้น: “ข้าจำได้ว่าท่านตั้งใจอยากจะศึกษาตำราแพทย์เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คน แต่มาตอนนี้กลับช่วยนายหญิงทำ……”

“ข้าเต็มใจ” เมี่ยวหารยิ้มและมองดูแมกไม้นานาชนิดในสวนที่มีอยู่มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ตามซอกหลืบ ทุกๆอย่างซ่านจินจื๋อเป็นคนเลือกมาเองกับมือ เมี่ยวหารได้แต่เพียงส่ายหน้า: “ข้าไม่มีอะไรคู่ควรกับนาง แต่ท้ายที่สุดแล้วยังได้อยู่ข้างกายนาง แค่มีข้าเพียงลำพัง”

“แต่จูเย่นไม่ได้คิดกับนายหญิง……” มาถึงตรงนี้จิ่นซิ่วยิ่งไม่เข้าใจ

“หากจูเย่นมีใจให้พ่านเอ๋อจริง ในตอนนั้นเขาคงไม่ไปข้องเกี่ยวกับองค์หญิงหลิงเอ๋อร์” อยู่ๆเมี่ยวหารก็พูดขึ้นมาแล้วจากไป

จิ่นซิ่วรู้สึกสับสน นางเม้มปากแน่นแล้วหันหลังกลับไปมองที่ห้องของตำหนักซูพ่านเอ๋อก่อนจะเดินจากไปอย่างตัวสั่น

เมื่อพระจันทร์อร่ามอยู่บนฟากฟ้า ลมยามราตรีพัดโชยมา

กู้อ้าวเวยถือโคมไฟสีแดงออกมาจากวิหารเฟิ่งหมิง นางห่มตัวด้วยเสื้อคลุมหนา เดินไปเดินมาอยู่ระหว่างตำหนักอ๋อง กุ่ยเม่ยที่คอยตรวจตรายามวิกาลกระโดดลงมาจากชายคา ทำเอากู้อ้าวเวยสะดุ้งตกใจ

กุ่ยเม่ยหยิบเอาถุงขนมถุงเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วซุกเข้าไปในวงแขนของกู้อ้าวเวย

“พระชายาดึกดื่นเพียงนี้แล้วมาทำอะไรอยู่ที่นี่” กุ่ยเม่ยที่มีขนมอยู่ในปากยังคงมีหน้ากากปิดหน้าอยู่

“ข้าไม่อยากอยู่ที่วิหารเฟิ่งหมิง” ปลายนิ้วของนางจับไปที่ท้องน้อย

ยามหลับตาลงที่วิหารเฟิ่งหมิง ความปวดท้องหน่วงๆก็ถาโถมเข้ามา และมีเสียงเด็กร้อง มันช่างยากแสนยากที่จะหลับลง

กุ่ยเม่ยเอาโคมไฟสีแดงจากมือกู้อ้าวเวยไปถือด้วยท่าทางเริงร่า

“หากพระชายาไม่อยากอยู่ที่วิหารเฟิ่งหมิง ด้านข้างนี้ยังมีวิหารอีกที่หนึ่งที่ไม่มีคน” กุ่ยเม่ยพูดไปพลางขณะพากู้อ้าวเวยเดินอ้อมไปทางที่นางไม่เคยไปมาก่อน

ที่มุมหนึ่งของตำหนักอ๋อง ยังคงมีวิหารที่เต็มไปด้วยหญ้า แต่ลานสวยไร้นามแห่งนี้กลับดูสะอาดเรียบร้อยเป็นอย่างมาก

“ที่นี่คือ……”

“ที่นี่คือที่ที่ท่านอ๋องเคยจัดเตรียมไว้เพื่อลูกของท่าน”

กุ่ยเม่ยบอกเล่าออกมาเบาๆ นิ้วมือของกู้อ้าวเวยไร้รอยเหี่ยวย่น นางรวบรวมลมหายใจผลักบานประตูเข้าไป กุ่ยเม่ยจุดไฟเทียนไขให้นาง เผยให้เห็นเปลไกวสำหรับเด็กและที่ด้านบนมีสิ่งที่ดูเหมือนกระดิ่งลมที่เอาไว้ทำให้เด็กชอบใจ

นิ้วมือของกู้อ้าวเวยค่อยๆลูบไล้ไป นางน้ำตารื้น: “ใครเป็นคนเตรียมสิ่งของเหล่านี้”

“ท่านอ๋องเป็นคนสั่งให้คนมาจัดเตรียมไว้อย่างดี บอกว่าอีกหน่อยจะเป็นที่อยู่ของท่านอ๋องน้อย” กุ่ยเม่ยนำนางมองดูที่อื่นๆ วิหารแห่งนี้ยังมีห้องครัวเล็กๆอยู่อีกด้วย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์